×

One Piece อย่าให้ใครมาบอกว่า ‘ความฝัน’ ของเราเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

02.09.2023
  • LOADING...
One Piece

หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ One Piece 

 

หลังจากปล่อยให้แฟนๆ กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางรอกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุด One Piece ฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันจาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากมังงะยอดฮิตในชื่อเดียวกันของ เออิจิโระ โอดะ ก็ได้ออกสู่สายตาผู้ชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยซีรีส์ได้ สตีเวน มาเอดะ (Steven Maeda) จากซีรีส์ Lost (2004) และ แมตต์ โอเวนส์ (Matt Owens) จากซีรีส์ Agents of S.H.I.E.L.D. (2013) มาดูแลในตำแหน่งผู้สร้าง และเจ้าของผลงานต้นฉบับอย่าง อ.โอดะ มาดูแลในตำแหน่งเอ็กซ์คูลซีฟโปรดิวเซอร์ 

 

พร้อมด้วย 5 นักแสดงน่าจับตามองมาสวมบทเป็น 5 สมาชิกกลุ่มหมวกฟาง นำโดย Iñaki Godoy จากซีรีส์ Who Killed Sara? (2021), Mackenyu Arata จาก Rurouni Kenshin: Final Chapter (2021), Emily Rudd จากซีรีส์ Fear Street (2021), Jacob Gibson จากซีรีส์ Grey’s Anatomy (2019) และ Taz Skylar จากภาพยนตร์ The Kill Team (2019) 

 

ซีรีส์ว่าด้วยเรื่องราวของ มังกี้ ดี. ลูฟี่ (Iñaki Godoy) เด็กหนุ่มสวมหมวกฟางที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นราชาโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ เขาจึงออกเดินทางสู่ท้องทะเลและตามหาพรรคพวก ไล่เรียงตั้งแต่นักล่าโจรสลัดผู้เก่งกาจ โซโล (Mackenyu Arata), ต้นหนเรือและแมวขโมย นามิ (Emily Rudd), ชายหนุ่มจอมโกหก อุซป (Jacob Gibson) และกุ๊กมากฝีมือ ซันจิ (Taz Skylar) เพื่อมุ่งหน้าสู่แกรนด์ไลน์และค้นหาสมบัติอันดับหนึ่งของโลกอย่าง ‘วันพีซ’ 

 

 

ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่มีข่าวคราวว่ามังงะยอดฮิตอย่าง One Piece จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจของผู้เขียนคือ มันจะออกมาเป็นฉบับไลฟ์แอ็กชันแล้ว ‘เวิร์ก’ จริงๆ เหรอ

 

หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือ โลกอันกว้างใหญ่ของ One Piece ที่ อ.โอดะ สร้างสรรค์ขึ้นนั้น อุดมไปด้วยเรื่องราวเหนือจินตนาการและรายละเอียดยิบย่อยมากมาย ดังนั้นแล้วการนำ One Piece มาดัดแปลงเป็นฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน จึงเป็นงานที่โหดหินสำหรับทีมสร้างพอสมควร โดยเฉพาะการต้อง ‘ปรับเปลี่ยน’ และ ‘ตัดทอน’ เนื้อหาบางส่วน เพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลาและรูปแบบของฉบับไลฟ์แอ็กชัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความสมเหตุสมผลและมนตร์เสน่ห์ของมังงะต้นฉบับไว้ให้ได้มากที่สุด

 

 

และในระหว่างทางนั้นเอง Netflix ได้ปล่อยข้อมูลความคืบหน้าของซีรีส์ออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพเบื้องหลัง จดหมายจาก อ.โอดะ ไปจนถึงคลิปตัวอย่างที่เผยให้เราเห็นโฉมแรกของ 5 นักแสดงนำที่มีเสน่ห์และเหมาะสมกับบทบาท และงานสร้างสุดตื่นตา รวมทั้งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การออกแบบเสื้อผ้าของกลุ่มหมวกฟางที่ถอดแบบมาจากภาพปกของมังงะต้นฉบับ

 

ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ที่ทำให้เราเชื่อว่า นี่คือโลกของ One Piece ที่เราชื่นชอบ ก็ทำให้เราเริ่มมีความคาดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า One Piece ฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันเรื่องนี้อาจออกมา ‘เวิร์ก’ จริงๆ ก็ได้ 

 

และสำหรับความรู้สึกของผู้เขียนหลังจากได้รับชม One Piece ทั้ง 8 ตอนจบ เราก็คงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ทีมสร้างสามารถนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางออกมาได้ดีเกินความคาดหมายจริงๆ

 

 

เริ่มตั้งแต่การหยิบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จากฉบับมังงะมาปรับใช้กับเรื่องราวฉบับไลฟ์แอ็กชันได้อย่างน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น การนำเรื่องราวของโซโลที่เคยถูกองค์กรบาร็อคเวิร์คชักชวนเข้ากลุ่มในช่วงเกาะวิสกี้ พีค มาขยายความในฉากเปิดตัวของโซโลในฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน ซึ่งนอกจากจะเป็นฉากการแนะนำตัวละครที่น่าสนใจแล้ว มันยังทำหน้าที่แนะนำองค์กรบาร็อคเวิร์คให้ผู้ชมรู้จัก เพื่อนำไปต่อยอดในซีซันที่ 2 ไปพร้อมอีกด้วย หรือจะเป็นการนำเรื่องราวของมองบลัง โนแลน ในช่วงเกาะจายา มาใช้ในฉากที่นามิกำลังอ่านบันทึกของโนแลนให้โซโลฟัง ก็เป็นอีกหนึ่งฉากที่ช่วยปูเรื่องราวของเกาะแห่งท้องฟ้าได้อย่างแนบเนียนทีเดียว

 

   

 

ส่วนสิ่งที่เราต้องชื่นชมทีมสร้างจริงๆ คือ การนำเนื้อเรื่องหลักของมังงะที่มีความยาวถึง 11 เล่ม มาดัดแปลงเป็นฉบับซีรีส์ยาว 8 ตอน โดยที่ยังสามารถรักษามนตร์เสน่ห์ของต้นฉบับไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมกับการปรับเปลี่ยนเนื้อหาจากมังงะต้นฉบับออกมาได้ดีเกินคาด 

 

ไม่ว่าจะเป็นฉากย้อนอดีตของสมาชิกแต่ละคน ที่นอกจากจะถอดแบบมาจากมังงะต้นฉบับแล้ว ซีรีส์ยังสามารถร้อยเรียงเรื่องราวในการตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม และช่วยเสริมให้เรื่องราวของตัวละครน่าสนใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่โซโลกำลังหาทางปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำในคฤหาสน์ของ คุณคายะ (Celeste Loots) ทีมสร้างก็เลือกใช้เหตุการณ์นี้ในการย้อนอดีตของโซโล เพื่อขยายความให้เราเห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาที่ไม่ยอมให้ตัวเองต้องตาย จนกว่าจะได้ทำตามความฝันให้สำเร็จ

 

หรือจะเป็นการนำเรื่องสั้นเปิดตอนของ โคบี้ (Morgan Davies) และ เฮลเมปโป้ (Aidan Scott) ที่ได้มาเจอกับ พลเรือโท การ์ป (Vincent Regan) มาตีความใหม่และเสริมแต่งเรื่องราวเข้าไป ก็ช่วยขยายเรื่องราวของโคบี้ที่มุ่งมั่นจะเป็นทหารเรือเพื่อปกป้องผู้คน แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมภายในองค์กรของทหารเรือที่แข็งแรงมากขึ้น และเสริมให้เรื่องราวมิตรภาพระหว่างโคบี้และลูฟี่ในฉบับของไลฟ์แอ็กชันมีมิติที่น่าสนใจ 

 

รวมไปถึงเรื่องราวมิตรภาพของกลุ่มหมวกฟางที่ถูกนำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ทั้งพาร์ตของโซโลและนามิที่แม้ภายนอกทั้งคู่ดูจะไม่ได้สนิทสนมกัน แต่พวกเขาก็ยังมีความห่วงใยให้แก่กันเสมอ หรือจะเป็นบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างลูฟี่และซันจิที่พูดถึงหน้าที่อันหนักอึ้งของการเป็นกัปตัน ก็ช่วยตอกย้ำให้เราเห็นถึงความรู้สึกของลูฟี่ที่มีต่อเพื่อนๆ ของเขาทุกคน จนทำให้เรารู้สึกผูกพันและตกหลุมรักกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางฉบับไลฟ์แอ็กชันได้อย่างไม่ยากเย็น 

 

 

โดยนอกเหนือจากเรื่องราวมิตรภาพและงานโปรดักชันสุดเนี้ยบ One Piece ยังเป็นซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องที่เน้นย้ำให้เราเห็นว่า ‘ความฝัน’ คือขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่คอยขับเคลื่อนให้เราลุกขึ้นมาลงมือทำบางสิ่ง พัฒนาความสามารถของตัวเองให้เก่งขึ้น และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอุปสรรค เพื่อทำให้ความฝันของเรากลายเป็นจริง  

 

เช่นเดียวกับลูฟี่ ที่แม้ว่าเขาจะถูกศัตรูหัวเราะเยาะและดูถูกแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงแนะนำตัวพร้อมประกาศว่าตัวเองคือ ‘ชายผู้ที่จะเป็นราชาโจรสลัด’ อยู่เสมอ เพราะเขามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าเขาจะทำมันได้จริงๆ และเชื่อมั่นในตัวของพวกพ้องที่พร้อมจะช่วยเหลือ เพื่อพาทุกคนมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่แต่ละคนใฝ่ฝันให้สำเร็จไปพร้อมๆ กัน

 

ดังนั้นแล้ว ข้อความสำคัญที่ซีรีส์ One Piece เรื่องนี้ต้องการส่งไปถึงผู้ชมเห็นจะเป็น จงอย่าหัวเราะเยาะหรือดูถูกว่าความฝันของใครเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เพราะ ‘ความฝันบ้าๆ’ เหล่านี้แหละคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ 

 

 

อย่างไรก็ตาม One Piece ฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน ก็มีจุดที่เราแอบเสียดายเป็นการส่วนตัวอยู่เช่นเดียวกัน นั่นคือการที่ทีมสร้างตัดสินใจตัดทอนเรื่องราวในพาร์ตของซันจิออกไปค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องราวของ กิง ลูกน้องของดอนครีกที่กลายเป็นตัวประกอบของเรื่อง หรือจะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของซันจิและ เซฟ ในพาร์ตปัจจุบันที่ดูจะรวบรัดเกินไปสักหน่อย จึงส่งผลให้เรื่องราวในพาร์ตของซันจิไม่แข็งแรงมากนักเมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่นๆ 

 

รวมไปถึงพาร์ตของอุซป ซึ่งตัวละครนี้มีจุดเด่นในแง่ของการเป็นคนขี้ขลาด จอมโกหก แต่เมื่อถึงยามคับขัน เขาก็พร้อมจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อช่วยเหลือคนที่เขาห่วงใย แต่ในฉบับซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันกลับไม่ได้นำเสนอแง่มุมนี้ออกมาอย่างชัดเจนเท่าไรนัก 

 

 

 

ในภาพรวม One Piece เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันที่สามารถรักษามนตร์เสน่ห์ของมังงะต้นฉบับไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งงานสร้างที่รังสรรค์โลกของ One Piece ได้อย่างน่าตื่นตา, การออกแบบฉากแอ็กชันเท่ๆ, เรื่องราวมิตรภาพของกลุ่มหมวกฟางที่ทำให้เราตกหลุมรัก ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนและเสริมแต่งเนื้อหาบางส่วน เพื่อให้เรื่องราวสมเหตุสมผลและมีมิติมากขึ้น จนทำให้เราอยากติดตามการผจญภัยของกลุ่มหมวกฟางในซีซันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ 

 

สามารถรับชมซีรีส์ One Piece ทั้ง 8 ตอน ได้แล้วทาง Netflix 

 

รับชมตัวอย่าง One Piece ได้ที่

 

 

 

ภาพ: Netflix 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising