เมื่อตรวจพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ นักวิทยาศาสตร์จะมีความสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของไวรัสประมาณ 5 ข้อ คือ
- การแพร่ระบาด (แพร่เร็วขึ้นหรือไม่)
- ความรุนแรง (อาการหนักขึ้นหรือไม่)
- ผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน (ดื้อวัคซีนหรือไม่ ติดเชื้อซ้ำหรือไม่)
- ผลกระทบต่อการรักษา (ดื้อยาหรือไม่)
- ผลกระทบต่อการวินิจฉัย (ต้องตรวจเชื้อด้วยวิธีใหม่หรือไม่)
สำหรับคำถามเรื่อง ‘ผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน’ คำตอบในช่วงแรกมาจากการคาดการณ์จากรหัสพันธุรรมที่มีการกลายหรือเปลี่ยนไป ยิ่งมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่สำคัญและมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่ง อย่างสายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ที่โปรตีนหนามมากกว่า 30 ตำแหน่ง ทำให้มีความกังวลว่าจะดื้อภูมิคุ้มกันมากขึ้น ช่วงถัดมาคำตอบจะมาจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
วันนี้ (8 ธันวาคม) สองสัปดาห์หลังจากประเทศแอฟริกาใต้รายงานการระบาดของสายพันธุ์นี้ให้องค์การอนามัยโลกทราบก็เริ่มมีข่าวผลการทดสอบภูมิคุ้มกันในการยับยั้งไวรัสออกมา
งานวิจัยแรกเป็นของทีม ศ.ดร.อเล็กซ์ ไซกัล แห่งสถาบันวิจัยด้านสาธารณสุขแห่งแอฟริกาใต้ โดยนำตัวอย่างเลือดจากผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer 12 คน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เคยติดเชื้อมาก่อน 6 คน และไม่เคยติดเชื้อมาก่อน 6 คน มาทดสอบกับไวรัส 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ดั้งเดิม (D614G) และสายพันธุ์โอไมครอน พบว่า
- ระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ 50% (FRNT50) ลดลงจาก 1,321 หน่วย เหลือ 32 หน่วย หรือลดลง 41.4 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม
- ระดับภูมิคุ้มกันของกลุ่มที่เคยติดเชื้อมาก่อน ‘สูงกว่า’ กลุ่มที่ไม่เคยติดเชื้อ
- ระดับภูมิคุ้มกันของอาสาสมัคร ‘บางคน’ แทบไม่สามารถยับยั้งไวรัสได้
แสดงว่าสายพันธุ์โอไมครอนสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากทั้งวัคซีนและการติดเชื้อก่อนหน้าได้ สอดคล้องกับข่าวผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนถึงแม้จะได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่การมีภูมิคุ้มกันในระดับสูงน่าจะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการมีภูมิคุ้มกันในระดับต่ำกว่า โดยกลุ่มที่เคยติดเชื้อมาก่อนและได้รับวัคซีน Pfizer น่าจะเทียบเท่ากับการได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 (การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นน่าจะมีความสำคัญในการป้องกันโรค) อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้มีกลุ่มตัวอย่างจำนวนน้อย
งานวิจัยอีกชิ้นเป็นของทีมนักวิทยาศาสตร์จากเยอรมนี ทดสอบการยับยั้งไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเปรียบเทียบกับสายพันธุ์เดลตา พบว่าระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ 50% (NT50)
- กลุ่มที่ได้รับวัคซีน Pfizer 2 เข็มมาแล้ว 6 เดือน ลดลง 11.4 เท่า และถือว่ายับยั้งสายพันธุ์โอไมครอนไม่ได้เลย (0%)
- กลุ่มที่ได้รับวัคซีน Pfizer 3 เข็ม ลดลง 37.0 เท่า (ยับยั้งได้ 58%) เมื่อเก็บตัวอย่างเลือดหลังฉีดเข็มที่ 3 ครึ่งเดือน และลดลง 24.5 เท่า (ยับยั้งได้ 25%) เมื่อเก็บตัวอย่างเลือดหลังฉีดเข็มที่ 3 สามเดือน
- เช่นเดียวกับกลุ่มที่ได้รับวัคซีน Moderna 2 เข็มมาแล้ว 6 เดือน ลดลง 20.0 เท่า (ยับยั้งได้ 0%) แต่เมื่อฉีดเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีน Pfizer เก็บตัวอย่างเลือดที่ครึ่งเดือน ลดลง 22.7 เท่า (ยับยั้งได้ 78%)
ผลการศึกษานี้ค่อนข้างน่ากังวลตรงที่ภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนชนิด mRNA ครบ 2 เข็มมานานไม่สามารถยับยั้งสายพันธุ์โอไมครอนได้ แต่จะสามารถยับยั้งได้มากขึ้นเมื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
ทั้งนี้ทั้งสองงานวิจัยเป็นผลการศึกษาเบื้องต้น ยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ผลการทดสอบนี้ไม่สามารถเทียบเคียงเป็นประสิทธิผลจริงของวัคซีนได้ (คำตอบในช่วงถัดไปจะมาจากการศึกษาในภาคสนาม) และร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันอีกประเภทคือ ทีเซลล์ (T Cell) ในการจัดการไวรัสซึ่งไม่ได้ทดสอบในครั้งนี้
อ้างอิง:
- SARS-CoV-2 Omicron has extensive but incomplete escape of Pfizer BNT162b2 elicited neutralization and requires ACE2 for infection https://www.ahri.org/wp-content/uploads/2021/12/MEDRXIV-2021-267417v1-Sigal.pdf
- https://twitter.com/CiesekSandra/status/1468465347519041539