×

ถึงคราวที่ ‘โอเล’ จะต้องเซฟตัวเอง?

29.09.2021
  • LOADING...
โอเล

นับจากวันที่มีข่าวการย้าย ‘กลับบ้าน’ ของ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ช่วยทำให้บรรยากาศทุกอย่างในโอลด์แทรฟฟอร์ดสวยงามถึงขีดสุด เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งจะคว้า จาดอน ซานโช และ ราฟาเอล วาราน มาร่วมทีมก่อนแล้ว

 

มาจนถึงวันเปิดตัวของโรนัลโดที่ทำคนเดียว 2 ประตู ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 73,000 คน ในโรงละครแห่งความฝันในเกมที่เอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดได้ ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า ปีนี้แหละอาจจะเป็นปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะทวงความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้ง

 

แต่ผ่านมาไม่ทันไร การแพ้ 3 จาก 4 นัดหลังสุด ต่อยัง บอยส์ ในแชมเปียนส์ลีก, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในลีกคัพ และล่าสุดในพรีเมียร์ลีกกับแอสตัน วิลลา คาบ้าน (โดยที่ชัยชนะหนึ่งนัดนั้นได้จากการเซฟจุดโทษของ ดาบิด เด เคอา ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในเกมกับเวสต์แฮมที่เล่นงานพวกเขาจนลำบาก) ทำให้บรรยากาศของทีมเวลานี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

 

คนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักที่สุดย่อมหนีไม่พ้น โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ หนักในระดับที่แฟนปีศาจแดงหลายคนเริ่มก้มหน้าส่ายหัวอีกครั้ง

 

ในขณะที่แฟนทีมอื่นเองเริ่มแคมเปญ #SaveOle แล้วคราวนี้ ‘โอเล’ จะเซฟตัวเองได้หรือไม่? และปัญหาจริงๆ มันเกิดจากจุดไหนกันแน่?

 

มีระบบ แต่ไม่มีรูปแบบและวิธี?

หากจะให้นิยามฟุตบอลของโซลชาร์กับแมนฯ ยูไนเต็ดแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร


ที่ว่ายาก เพราะแมนฯ ยูไนเต็ดของเขา เป็นทีมที่หาจุดเด่นที่ชัดเจนได้ยาก แตกต่างจากแมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา, ลิเวอร์พูลของ เจอร์เกน คล็อปป์, เชลซีของ โธมัส ทูเคิล ซึ่งจะมีสไตล์และรูปแบบการเล่นที่ชัดเจน เป็นเอกลักษณ์

 

สำหรับปีศาจแดงแล้ว หากจะให้เปรียบก็เหมือนเพลงหมัดไร้กระบวนท่า แต่มีทีเด็ดจากความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมของผู้เล่นที่เก่งกาจมากพอที่จะพลิกหรือเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ด้วยตัวเอง ซึ่งในรายชื่อแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะระดับนี้น่าจะมากที่สุดในอังกฤษแล้วด้วยซ้ำ

 

แต่การไร้กระบวนท่าก็หมายถึงการที่ไม่มีรูปแบบและวิธีการเล่นที่ชัดเจน ซึ่งสำหรับทีมระดับนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

 

ย้อนกลับไปในเกมกับแอสตัน วิลลา พวกเขาครองบอลได้มากถึง 59.6% และมีโอกาสลุ้นประตูถึง 28 ครั้ง เพียงแต่มีโอกาสสำคัญ (Big Chance) ครั้งเดียวตามการบันทึกสถิติของ Opta สำนักสถิติชื่อดัง ในขณะที่วิลลามีโอกาสสำคัญมากกว่าถึง 3 ครั้ง

 

และในขณะที่พวกเขามีศูนย์หน้าที่หาโอกาสในกรอบเขตโทษระยะ 12 หลา หรือ 6 หลา ที่เก่งที่สุดในโลกอย่างโรนัลโด แต่พวกเขาแทบไม่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เลย เพราะเกมริมเส้นไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะจากฟูลแบ็กที่แทบช่วยอะไรได้ไม่มากนัก

 

สิ่งเดียวที่โซลชาร์ชัดเจนคือ เขาเลือกแล้วที่จะยึดระบบการเล่น 4-2-3-1 เพียงแต่ปัญหาคือ ด้วยขุมกำลังตอนนี้ระบบนี้คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดหรือไม่?

 

ชักไม่แน่ใจ

 

รักพี่-เสียดายน้อง

สิ่งที่โซลชาร์น่าอิจฉาที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกคือ การที่เขามีขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในแนวรุก

 

จากเดิมที่มี เมสัน กรีนวูด, เอดินสัน คาวานี และ บรูโน แฟร์นันด์ส มาในปีนี้พวกเขาได้ จาดอน ซานโช และ คริสเตียโน โรนัลโด เข้ามาเสริมอีก ไม่นับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่พักยาว แต่ใกล้จะหายเจ็บกลับมา, เจสซี ลินการ์ด ที่ยังมีประโยชน์กับทีม แม้กระทั่งตัวสำรองที่ดูมีอนาคตน้อยที่สุดอย่าง อองโตนี มาร์กซิยาล ก็เป็นนักเตะมีระดับเช่นกัน

 

แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นความหนักใจของโซลชาร์ เพราะเขาจัดทีมไม่ถูกในเวลานี้ เพราะมีโควตาทั้งหมดแค่ 4 ตำแหน่งเท่านั้นที่จะยัดนักเตะเหล่านี้ลงไป

 

นักเตะแนวรุกที่เล่นได้ดีที่สุดคือ เมสัน กรีนวูด ทำให้ได้โอกาสลงเล่นต่อเนื่อง เช่นกันกับตัวทำเกมที่ทีมขาดไม่ได้คือ บรูโน แฟร์นันด์ส ขณะที่โซลชาร์เองก็ต้องการจินตนาการของ พอล ป็อกบา ที่จะเล่นได้ดีที่สุดทางปีกซ้าย

 

แน่นอนคนที่ยืนเป็นศูนย์หน้าคือโรนัลโด ที่มีคำถามว่าถึงเวลาแล้วโซลชาร์จะกล้าดร็อปเขาออกจากทีมหรือไม่?

 

ตัวสำรองอย่างซานโชหรือคาวานี และอาจรวมถึงแรชฟอร์ด, ลินการ์ด และมาร์กซิยาล ก็ต้องบริหารความคาดหวังด้วยเช่นกัน

 

โดยเฉพาะซานโชที่เฝ้าติดตามมาร่วมปีกว่าจะคว้าตัวมาร่วมทีมได้ แต่ถึงเวลากลับแทบไม่ให้โอกาสในการลงสนาม หรือหากได้โอกาสลงก็จะเป็นตำแหน่งที่ไม่ถนัด และมีเวลาน้อยเกินไปที่จะจับจังหวะเรียกความมั่นใจให้ตัวเองได้

           

Ronaldo Effect

หนึ่งในสิ่งที่เป็นคำถามในหมู่ผู้รู้ของวงการลูกหนังในวันที่โรนัลโดย้ายกลับมาคือ ถึงการกลับมาของเขาจะสร้างบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม และเชื่อว่าจะการันตีจำนวนประตูในหลัก 20-30 ประตูต่อฤดูกาลสบายๆ อยู่แล้ว (ซึ่งตอนนี้ก็ยิงไปแล้ว 4 ประตู)

 

แต่การได้นักเตะระดับเขาเข้ามา อาจหมายถึงการที่ทีมต้องปรับตัวให้เข้ากับโรนัลโดแทน มากกว่าที่จะให้โรนัลโดปรับตัวเข้ากับทีม

 

เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่า ‘CR7’ เข้ามา และยึดตำแหน่งศูนย์หน้าของทีมที่เคยเป็นของคาวานีหรือของกรีนวูดที่ทำผลงานได้ดีทันที และแม้ผลงานส่วนตัวของโรนัลโดจะยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด จะสูญเสีย ‘ความลื่นไหล’ บางอย่างไป

 

ไม่ต่างอะไรจากยูเวนตุสที่เคยเป็นทีมที่เน้นทีมเวิร์กมากกว่าพึ่งพาสตาร์คนเดียว แต่เมื่อมีโรนัลโด ยูเวก็กลายเป็นทีมอีกแบบที่แม้สตาร์โปรตุเกสจะยังทำผลงานส่วนตัวดี แต่ผลงานของทีมมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ

 

อีกคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการมาของโรนัลโดคือ บรูโน แฟร์นันด์ส ที่เคยเป็นพระเอกของทีมก่อนหน้านี้ การมาของลูกพี่ใหญ่ร่วมทีมชาติโปรตุเกสหมายถึงเขาต้องยอมลดบทบาทลง และในเวลาเดียวกันมันก็มีคำถามสำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเคยรับหน้าที่อย่างการยิงฟรีคิกหรือการยิงลูกจุดโทษว่า จะยังเป็นหน้าที่ของเขาหรือไม่

 

เรื่องนี้อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บรูโนซัดจุดโทษข้ามคานไปไกลโดยเห็นได้ชัดว่า สูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมี อีกทั้งในข้อความที่เขียนขอโทษแฟนบอลหลังจบเกมนั้น จับอาการแล้วสัมผัสได้ถึงความกดดันจากการมีโรนัลโดในทีมที่อาจจะแย่งหน้าที่บางอย่างไป

 

และการมาของโรนัลโดยังทำให้ยูไนเต็ดไม่ได้เสริมทัพในแดนกลางอย่างที่ตั้งใจ ทำให้พวกเขาต้องใช้บริการของเฟร็ด, เนมันยา มาติช และ สกอตต์ แมคโทมิเนย์ ต่อไป (ลืมไปยังมี ดอนนี ฟาน เดอ บีค อีกคน!) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นจุดบอดของทีม

 

นี่คือผลกระทบของการมีนักเตะอย่างโรนัลโดในทีมที่ไม่ได้มีแต่ข้อดีอย่างเดียว

           

ถึงเวลาโซลชาร์ต้องโชว์ฝีมือ

ปัญหาหลักทั้งหมดที่กล่าวมา (และอาจจะมีเรื่องอื่นอีก) คือบททดสอบความสามารถและความเป็นผู้นำของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ อย่างจริงจัง

 

โดยเฉพาะคราวนี้เขา ‘ไม่มีข้ออ้าง’ ใดจะเอามาใช้ได้อีกแล้ว เพราะจากที่เคยรับมรดกทีมในสภาพย่ำแย่ต่อจาก โชเซ มูรินโญ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากฝ่ายบริหาร ด้วยการเติมนักเตะชั้นดีเข้ามาเสริมทีมต่อเนื่องทุกปี

 

ดังนั้นนายใหญ่ที่ว่ากันว่าเป็นคนที่มีโอกาสที่ดีที่สุดในการจะกอบกู้ทีมให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหลังตกต่ำต่อเนื่องเมื่อ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไป จะต้องหาทางจัดการแก้ไขทุกอย่างโดยด่วน

 

สิ่งที่เป็นปัญหาที่โซลชาร์เองก็ทำอะไรไม่ได้คือ การที่จะชนะหรือแพ้ กระแสในโซเชียลมีเดียจะโอเวอร์เกินความเป็นจริงตลอดก็ตาม ซึ่งเอาเข้าจริงขณะนี้พวกเขามี 13 คะแนนตามหลังจ่าฝูงลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียวด้วยซ้ำไป แต่ภาพมันกลับดูเลวร้ายอย่างมาก

 

วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การควานหาชัยชนะกลับมาให้ได้ก่อน และเก็บเกี่ยวชัยชนะไปเรื่อยๆ ทีละนัด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่โซลชาร์ถนัดและเอาตัวรอดจากสถานการณ์กดดันได้ด้วยวิธีแบบนี้มาหลายครั้ง

 

โดยเฉพาะหากล้างตาเอาคืนบียาร์เรอัล คู่ปรับที่ทำให้พวกเขาอกหักในนัดชิงยูฟ่ายูโรปาลีกฤดูกาลที่ผ่านมาได้ด้วยฟอร์มที่สวยงาม ทุกอย่างจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วแน่นอน

 

เพียงแต่มันก็ไม่ง่ายนัก เพราะบียาร์เรอัลเป็นทีมที่แพ้ยาก ขณะที่แนวรับของพวกเขาทรุดหนัก เพราะจะขาดทั้ง อารอน วาน-บิสซากา ที่ติดโทษแบน ขณะที่ ลุค ชอว์ และ แฮร์รี แม็กไกวร์ ได้รับบาดเจ็บในเกมกับวิลลา และยังไม่พร้อมจะกลับมาลงสนามอีกครั้ง

 

สิ่งที่ยากกว่าคือ การหาทีมที่ลงตัวที่สุดให้ได้เร็วที่สุด ใช้คนให้ถูกกับงาน และต้องเด็ดขาด ต่อให้จะต้องเป็นการขัดใจกับนักเตะระดับสตาร์บ้างก็ตาม

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โซลชาร์ถูกมองติดลบอยู่แล้วในแง่ของความสามารถ ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงที่ทีมของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ

 

เพียงแต่เวลานี้แค่ดีขึ้นเรื่อยๆ มันไม่เพียงพอแล้ว ถึงเวลาที่เขาต้องส่งมอบผลงานให้แฟนบอลและฝ่ายบริหารพอใจ

 

ไม่เช่นนั้นใครก็เซฟเขาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising