×

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กับโอกาสพิสูจน์ความน่าเชื่อถือครั้งสุดท้ายในศึกแดงเดือด

19.10.2019
  • LOADING...
Ole Gunnar Solskjaer

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมลงสนามพบกับลิเวอร์พูล ในวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม ในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษเวลา 22.30 น. 
  • ความคาดหวังของแฟนบอล โดยเฉพาะขุนพลปีศาจแทบจะสิ้นหวังในการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล จากทั้งฟอร์มการเล่นช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับนักเตะหลักอย่าง ดาบิด เด เคอา ได้รับบาดเจ็บจนหมดสิทธิ์ลงเล่น 
  • ไมเคิล ค็อกซ์ ผู้เขียนหนังสือ The Mixer มองว่าปัญหาสำคัญของทีมคือแท็กติก โดยเฉพาะในแดนกลางที่ไม่สามารถขับเคลื่อนเกมไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รถยนต์คันหนึ่งมีสติกเกอร์บนกระจกหลังที่เขียนด้านบนว่า Glory Glory Manchester United ที่ถูกคลุมไปด้วยฝุ่นโคลนจากลมฝนแห่งกาลเวลา และไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเท่าที่ควร ขับผ่านหน้าเราไปในวันศุกร์ที่ทุกคนรีบเดินทางกลับบ้าน 

 

ซึ่งหากจะเปรียบสติกเกอร์นั้นกับแบบฟอร์มของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบันก็คงไม่แตกต่างกัน กับทีมที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความสำเร็จจนเป็นมาตรฐานที่คุ้นชิน มาในวันนี้ กลับเป็นทีมที่แฟนบอลบางกลุ่มยอมรับว่าอยากให้ทีมแพ้ลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับตลอดกาลหนักๆ ในศึกแดงเดือดที่กำลังจะถึงวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคมนี้ เพื่อจะกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังขึ้นภายในทีม

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

ด้วยสภาพทีมที่ไม่พร้อมทั้ง ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูมือ 1 ที่ไม่สามารถลงช่วยทีมได้ และนักเตะหลักหลายคนยังต้องรอเช็กความฟิตกับฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้ที่ผ่านพ้นไป 8 นัด ทีมอยู่ในอันดับที่ 12 ขณะที่ลิเวอร์พูลยังไม่แพ้ใครในลีก การที่ทีมจะเอาชนะลิเวอร์พูลได้ จึงต้องอาศัยปาฏิหาริย์เป็นที่พึ่งทางใจสำหรับนักเตะและแฟนบอลในช่วงสุดสัปดาห์นี้ 

 

ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้กุมบังเหียนของทีมในเวลาที่ต้องการมากที่สุด เพราะด้วยแรงกดดัน กระแสต่อต้าน และความผิดหวังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ วิธีการบริหารแบบมองโลกในแง่ดี อาจไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับเกมต่อจากนี้ 

 

โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กับแท็กติกของเขา 

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

ในช่วงฮันนีมูน หลายคนรวมถึงตัวของผู้เขียนเองก็เชื่อว่านี่อาจเป็นคำตอบที่ทีมปีศาจแดงมองหามานาน ผู้ที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความคุ้นเคยกับทีมเป็นอย่างดี ในฐานะนักเตะระดับตำนาน ผู้มีความเข้าใจ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วินนิ่งเวย์ในยุคที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีมแบบไม่ยอมหักยอมงอ จนกว่าชัยชนะจะเกิดขึ้นหลังเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกม

แต่เมื่อช่วงเวลาผ่านพ้นไปพร้อมกับผลการแข่งขันที่เปลี่ยนรอยยิ้มของแฟนบอลกลับหัวลงเป็นความเศร้าอีกครั้ง เมื่อการตัดสินใจต่างๆ ของเขาทำให้เกิดการตั้งคำถาม 

 

โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่เริ่มต้นด้วยการปล่อยตัวศูนย์หน้าคนสำคัญถึง 2 ราย ทั้ง อเล็กซิส ซานเชซ และ โรเมลู ลูกากู จนทำให้ทีมขาดกำลังในแดนหน้าอย่างชัดเจน เมื่อนักเตะหลักอย่าง อ็องโตนี มาร์กซิยาล ได้รับบาดเจ็บ 

 

แต่ความน่ากังวลที่แท้จริงในสนามคือ แล้วโซลชาร์มีความสามารถในด้านแท็กติกมากน้อยขนาดไหนจากการก้าวกระโดดจากการคุมทีมโมลด์ สโมสรในลีกสูงสุดของนอร์เวย์ มาคุมทีมที่ครั้งหนึ่งเคยมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก 

 

ไมเคิล ค็อกซ์ ผู้เขียนหนังสือ The Mixer ที่อธิบายถึงวิวัฒนาการลูกหนังด้านแท็กติกในเกาะอังกฤษได้เขียนบทวิจารณ์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2019 ว่าเป็นทีมไม่สามารถสร้างโอกาสการทำประตูจากเกมโอเพ่นเพลย์ได้เลย 

 

จุดเริ่มต้นของโซลชาร์ แม้ว่าจะเป็นการปลดล็อกทีมจากรูปแบบการเล่นที่เน้นผลของ โชเซ มูรินโญ จนทำให้พวกเขาไม่แพ้ใครติดต่อกันถึง 12 เกม ยิงได้ 29 ประตูเสียเพียงแค่ 9 ลูก 

 

ซึ่งเหนือกว่าตัวเลข Expected Goals (xG) จากสถิติของ Understat ที่เผยว่าพวกเขาควรที่จะยิงได้ 25.6 ประตู และเสีย 13.7 ลูก และได้ผลต่างประตูได้เสีย 11.9 ลูก โดยเหตุผลหลายฝ่ายเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการที่โซลชาร์ปลดล็อกอิสรภาพทางเกมรุกให้กับทั้งมาร์กซิยาล และ ปอล ป็อกบา รวมถึงการที่เขาเคยเป็นอดีตกองหน้า จึงมีเคล็ดลับการปลดล็อกประตูมาแบ่งปันให้กับทีมจนสามารถยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ 

 

แม้ว่าในฤดูกาลนี้ผลงานอาจไม่เป็นที่พอใจสำหรับหลายคน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลข xG จะพบว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ทำผลงานห่างจากสถิติมากนัก 

 

ในเกมรับพวกเขาเสีย 8 ประตูจาก 8 เกม ซึ่งนับเป็นสถิติที่ดีเป็นอันดับที่ 4 ในลีก และมีค่าเฉลี่ย xGA หรือการเสียประตูอยู่ที่ 6.2 ลูก ซึ่งนับเป็นสถิติที่ดีที่สุดในลีกเวลานี้ ขณะที่ลิเวอร์พูลแม้ว่าจะเสียประตูน้อยที่สุดที่ 6 ลูก แต่มีโอกาสเสียประตู xGA สูงถึง 7.4 ขณะที่ทีมอื่นๆ อยู่ที่ 9.5 ลูกหรือมากกว่า 

 

แต่ปัญหาอยู่ที่เกมรุก เมื่อพวกเขายิงได้แค่ 9 ประตู ซึ่งมีถึง 12 ทีมในลีกที่ยิงได้มากกว่าพวกเขา และเป็นการยิงได้ต่ำกว่า xG ที่ 12.1 ประตู หลายคนมองว่าปัญหาอาจเกิดขึ้นจากแนวรุกของปีศาจแดงไม่มีศักยภาพเพียงพอ แต่การยิงได้ 7 ประตูจากโอกาสยิง 6.23 xG ถือเป็นผลงานที่น่าพอใจ 

 

ปัญหาจากการมองลึกลงไปในตัวเลข xG คือการที่ทีมไม่สามารถจบสกอร์ได้จากลูกเซตพีซ ทั้งจากลูกเตะมุม ลูกตั้งเตะ และจุดโทษ พวกเขายิงได้ 2 ประตูจาก 6.0 xG โดยเฉพาะการพลาดจุดโทษของป็อกบา เกมที่พวกเขาเสมอวูล์ฟส์ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในเกมที่พ่ายให้กับคริสตัล พาเลซ 

 

รวมถึง 2 เกมที่ แฮร์รี แม็กไกวร์ พลาดโอกาสยิงประตูสำคัญจากลูกเตะมุมในเกมที่พ่ายให้กับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และการพลาดจังหวะโหม่งทำประตูในเกมเจอกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

 

แต่การเปรียบเทียบตัวเลขประตูกับ xG อาจบดบังปัญหาที่แท้จริงว่าทีมของโซลชาร์ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสทำประตูได้มากเพียงพอ และกลายเป็นทีมที่หวังพึ่งเพียงแค่ประตูจากลูกจุดโทษ หรือเซตพีซมากกว่าเกมบุกแบบโอเพ่นเพลย์ 

 

ปัญหาที่ชัดเจนคือการที่แดนกลางของยูไนเต็ด ไม่สามารถจ่ายบอลทะลุช่อง ที่สามารถสร้างความอันตรายในเกมรุกได้ โดยเฉพาะเกมที่พบกับนิวคาสเซิล ซึ่งทีมฝั่งตรงข้ามเลือกใช้แผน 5-4-1 แบบตั้งรับลึกและรอสวนกลับ 

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

เกมนั้นยูไนเต็ดซึ่งเลือกใช้ สกอตต์ แม็กโทมิเนย์ คู่กับเฟร็ด ซึ่งทั้งคู่ไม่สามารถขับเคลื่อนบอลได้รวดเร็ว และจ่ายบอลที่สร้างความได้เปรียบให้กับแนวรุกได้มากเพียงพอ รวมถึงเสียบอลได้แดนกลางอยู่บ่อยครั้ง 

 

ขณะที่ ฆวน มาตา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้เล่นหมายเลข 10 ที่โดดเด่นที่สุดในลีกคนหนึ่งกับเชลซี กลับกลายเป็นนักเตะที่เหมือนกับลืมหน้าที่ในตำแหน่ง และกลายเป็นนักเตะที่ส่งบอลคืนหลัง หรือไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบให้กับทีมได้ การส่งบอลของทีมในแดนกลางตอนนี้จึงไม่ใช่การจ่ายบอลทะลุช่องหรือตัดหลังคู่แข่ง แต่กลับเป็นการจ่ายบอลอ้อมคู่แข่งไปเรื่อยๆ 

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

ความน่าผิดหวังที่เกิดขึ้นในเกมรุก มักจะเป็นกองหน้าที่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตู และกองกลางที่ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสได้ที่ถูกโทษเป็นสิ่งแรกๆ แต่สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปัญหาที่มีมากกว่านั้น เพราะว่าในแดนกลาง พวกเขาไม่สามารถขับเคลื่อนเกมไปในแดนคู่แข่งได้ดีพอ 

ในเกมรับ แม็กไกวร์เองจะสามารถบุกเข้าไปช่วงชิงโอกาสทำประตูได้หลายครั้งจากจังหวะเซตพีซ และทำหน้าที่เป็นเพลย์เมกเกอร์จากแนวรับได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงสถิติเกมรับที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าเขาคือการเซ็นสัญญาที่ถูกต้องสำหรับทีม

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

ส่วนในเกมรุกนั้นต้องยอมรับว่ายูไนเต็ด การขาดป็อกบาและมาร์กซิยาล ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่สุดของทีมในเกมรุก เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อเขาทั้งสองกลับมาอาจช่วยพัฒนาให้ทีมสามารถสร้างสรรรค์โอกาสยิงประตูได้มากขึ้น 

 

ตัวเลขที่บ่งบอกว่าทีมไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนคิด แต่ความรู้สึกที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกำลังเลี้ยวลงไปสู่เส้นทางที่หลายคนไม่ต้องการ ด้วยผลงานที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งเกมรุกจากโอเพ่นเพลย์และเซตพีซยังคงอยู่ในใจแฟนบอล และคอมเมนเตเตอร์หลายๆ คน 

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

โซลชาร์จะพูดเสมอพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความหวังว่า เขาต้องการสร้างสปิริตของทรีเบิลในปี 1999 อีกครั้ง แต่กลับไม่เคยบอกเลยว่าเขามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในด้านของแท็กติก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างทีมสู่ความสำเร็จในสนาม 

 

แต่หากแท็กติกของทีมชุดนี้จะทำเหมือนกับปี 1999 ได้ พวกเขาคงต้องอาศัยสถานการณ์ที่ใกล้จบสิ้นช่วงท้ายเกมกับบาเยิร์น มิวนิค ที่ถูกนำอยู่ 1-0 และความหวังเดียวที่มีคือเปิดลูกเตะมุมเข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อลุ้นให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น 

 

คำถามสำคัญหลังจบเกมคือ หากโดนถล่มในเกมนี้ และบอร์ดบริหารตัดสินใจปลดโซลชาร์ ทีมจะเข้าสู่ลูปเดิมหรือไม่ เมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เซอร์อเล็กซ์วางมือจากทีมไปเมื่อปี 2013 

 

ทีมได้ผ่านกุนซือที่ได้รับบทพิสูจน์มาบ้างแล้วในพรีเมียร์ลีก อย่าง เดวิด มอยส์ กุนซือที่หลายคนยกย่องให้เป็นอาจารย์ลูกหนัง อย่าง หลุยส์ ฟาล กัล กุนซือที่ขึ้นชื่อว่า เดอะสเปเชียลวัน อย่างมูรินโญ และล่าสุด กุนซือที่หลายคนคิดว่าเข้าใจในดีเอ็นเอของสโมสรอย่างโซลชาร์มาแล้ว 

 

อะไรคือคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามที่ว่า ทำอย่างไรทีมจึงจะกลับสู่เส้นทางที่ทุกคนต้องการ เมื่อกุนซือแต่ละคนที่ผ่านมาได้ตอบคำถามไปในคนละรูปแบบ แต่ก็ยังไม่สามารถนำพาทีมไปในทิศทางที่น่าพอใจได้ 

 

ผู้อำนวยการฟุตบอล ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนเรียกร้องให้มาเป็นตัวเชื่อมระหว่างกุนซือ กับ เอ็ด วูดเวิร์ด รองประธานบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งล่าสุดออกมาปกป้องทั้งการทำงานของโซลชาร์ และตอบโต้คำวิจารณ์ที่ว่า คนที่ไม่รู้เรื่องฟุตบอลในสโมสรได้รับอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับฟุตบอลในสโมสรแห่งนี้ 

 

แต่หากจะให้มองความจริงในวันนี้คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจต้องเริ่มต้นด้วยยอมรับสถานะของทีมในปัจจุบัน ซึ่ง ริโอ เฟอร์ดินานด์ อีกหนึ่งตำนานของทีมได้ออกมาชี้ให้เห็นว่าการที่นักเตะอย่าง แดเนียล เจมส์ ปีกดาวรุ่งวัย 21 ปีที่ถูกคว้าตัวมาเพื่ออนาคตของทีม กลับกลายเป็นนักเตะที่เป็นความหวังหลักของทีม บ่งบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของทีมในปัจจุบัน 

 

ความสำเร็จในช่วงข้ามคืนอาจเกิดขึ้นได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดกับลิเวอร์พูล เนื่องจากไม่มีสักครั้งที่ เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือขวัญใจมหาชนสามารถบุกไปคว้าชัยที่รังของปีศาจแดงได้ รวมถึงฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลช่วง 3 เกมที่ผ่านมา เป็นการเก็บชัยชนะด้วยผลต่างประตูเพียงแค่ 1 ลูก  

 

ซึ่งการคว้าชัยในบ้านครั้งนี้สำหรับปีศาจแดง อาจเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกุนซือและบอร์ดบริหารอีกครั้ง

 

Ole Gunnar Solskjaer

 

แต่ความยั่งยืนที่ตามมาในฟุตบอลสมัยใหม่ที่กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากขึ้น เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าผลต่างประตูได้เสียเพียงแค่ไม่กี่เกม และหากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะหาหนทางของตนเองเจออีกครั้ง

 

พวกเขาอาจต้องเริ่มต้นหาต้นตอของปัญหาให้เจอ ไม่ว่ามันจะอยู่ในห้องแต่งตัวหรือห้องผู้บริหาร และเริ่มต้นแก้ไข ด้วยการนับหนึ่งจากตรงนั้น 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising