×

พนักงานออฟฟิศ ซื้อลดหย่อนภาษีตัวไหนดี

13.11.2025
  • LOADING...
พนักงานออฟฟิศ ซื้อ ลดหย่อนภาษีตัวไหนดี

สำหรับพนักงานออฟฟิศอย่างเรา ที่อาจกำลัง ‘หัวฟู’ กับการเคลียร์งานส่งท้ายปี อย่าลืมว่ายังมีอีกหนึ่ง ‘เดดไลน์’ สำคัญรออยู่ นั่นคือโค้งสุดท้ายของการวางแผนภาษี

 

นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องกลับมาตรวจสอบสิทธิ์ลดหย่อนทั้งหมด เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการเซฟเงินที่เราหามาทั้งปี และเปลี่ยนภาระภาษีที่ (อาจจะ) ต้องจ่าย ให้กลายเป็นเงินออมเพื่ออนาคต

 

แต่คำถามสำคัญคือ ท่ามกลางตัวเลือกที่แสนวุ่นวาย ทั้งประกัน, RMF, ThaiESG และอีกสารพัด พนักงานออฟฟิศแบบเราควรเลือกซื้อตัวไหนให้คุ้มค่าและตอบโจทย์ชีวิตที่สุด?

 

ข้อควรรู้ของพนักงานออฟฟิศ ก่อนเลือกซื้อลดหย่อน

 

ความเป็นพนักงานออฟฟิศหรือมนุษย์เงินเดือน มีบริบทเฉพาะที่ส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนภาษี

 

1. PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) โควต้าแรกที่ต้องนับ

 

จุดนี้สำคัญที่สุด และแตกต่างจากอาชีพอิสระโดยสิ้นเชิง เพราะเงิน PVD ที่เราสะสมในแต่ละปีจะถูกนับรวมอยู่ใน ‘โควต้าเกษียณ 500,000 บาท’ ก่อนที่จะคิดซื้อ RMF หรือประกันบำนาญ ต้องตรวจสอบยอด PVD ปีนี้ก่อนเสมอ ว่าเราใช้โควต้าไปแล้วเท่าไหร่ และเหลือให้ซื้อเพิ่มได้อีกเท่าไหร่

 

2. ทบทวน ‘สวัสดิการที่มี’ ก่อนซื้อประกันเพิ่ม

 

ชาวออฟฟิศส่วนใหญ่มีทั้ง ‘ประกันสังคม’ และ ‘ประกันสุขภาพกลุ่ม’ ของบริษัทอยู่แล้ว การซื้อประกันสุขภาพส่วนตัวเพื่อลดหย่อนจึงไม่ควรเริ่มจากศูนย์ แต่ควรเป็นการซื้อเพื่อ ‘อุดช่องโหว่’ หรือ Top-up จากสวัสดิการเดิม เช่น เพิ่มค่าห้อง หรือซื้อความคุ้มครองโรคร้ายแรง เพื่อให้ได้ความคุ้มครองเหมาะสมโดยไม่จ่ายเบี้ยซ้ำซ้อน

 

เลือกลดหย่อนตัวไหนดี? ได้ทั้งลดภาษี ได้ทั้งแผนการเงินที่ดี

 

พนักงานออฟฟิศอย่างเรามีตัวช่วยลดหย่อนเด็ดๆ ที่ไม่เพียงช่วยประหยัดภาษี แต่ยังตอบโจทย์ชีวิตด้านอื่นๆ ด้วย

 

1. ทำประกัน ป้องกันความเสี่ยง

 

หนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเงิน คือการมีเกราะป้องกันความเสี่ยงก่อน หากเจ็บป่วยหนัก เงินเก็บทั้งหมดอาจหายไปในพริบตา

 

ประกันชีวิต (ทั่วไป/สะสมทรัพย์) และประกันสุขภาพ สามารถใช้สิทธิรวมกันได้สูงสุด 100,000 บาท (โดยส่วนของประกันสุขภาพใช้ได้ไม่เกิน 25,000 บาท)

 

  • ข้อดี: ได้ความคุ้มครองทันที, ประกันชีวิตแบบ 10 ปีขึ้นไปช่วยสร้างวินัยการออม, ประกันสุขภาพช่วยจัดการความเสี่ยงค่ารักษา
  • ข้อควรพิจารณา: เป็นภาระระยะยาว (ประกันชีวิต) หรือเบี้ยประกันอาจเพิ่มขึ้นตามอายุ (ประกันสุขภาพ)

 

เหมาะสำหรับ ผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว, ต้องการสร้างวินัยการออม, หรือมีสวัสดิการสุขภาพไม่ครอบคลุม

 

2. RMF: ลงทุนวางแผนเกษียณ

 

RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือเครื่องมือวางแผนเกษียณที่ให้เราลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย (หุ้น ตราสารหนี้ ฯลฯ) เพื่อคาดหวังผลตอบแทนระยะยาว

 

RMF สามารถลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งโควต้านี้ต้องนับรวมกับ PVD, กบข., และประกันบำนาญ

 

  • ข้อดี: มีนโยบายการลงทุนหลากหลาย เหมาะกับทุกระดับความเสี่ยง, มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว
  • ข้อควรพิจารณา: ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี และถือครองจนถึงอายุ 55 ปี มีความเสี่ยงจากตลาดลงทุน

 

เหมาะสำหรับ คนที่ต้องการออมเพื่อเกษียณอย่างจริงจัง มีวินัย และมีช่องว่างในโควต้า 500,000 บาท

 

3. ThaiESG: ลดหย่อนได้ ลงทุนได้

 

น้องใหม่มาแรง ThaiESG (Thailand ESG Fund) คือกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม

 

ความพิเศษคือ ThaiESG มีโควต้าลดหย่อนเพิ่มแยกต่างหากอีก 300,000 บาท (สูงสุด 30% ของเงินได้) เหมาะกับผู้ที่ใช้โควต้าเกษียณ 500,000 บาทเต็มแล้ว แลกกับการถือครอง 5 ปีเต็ม

 

  • ข้อดี: เป็นสิทธิลดหย่อนที่ “เพิ่ม” เข้ามา, ได้ลงทุนในธุรกิจไทยแนวยั่งยืน
  • ข้อควรพิจารณา: ต้องถือครอง 5 ปีเต็ม (นับแบบวันชนวัน), เป็นกองทุนใหม่ที่เน้นลงทุนในไทยและมีให้เลือกไม่มาก

 

เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการสิทธิลดหย่อนเพิ่ม หรือผู้ที่ต้องการลงทุนระยะกลางในธุรกิจยั่งยืน

 

4. ประกันบำนาญ (Pension Insurance)

 

เครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อ ‘การันตีรายได้หลังเกษียณ’ โดยเฉพาะ ช่วยสร้างวินัยออมระยะยาวและจ่ายผลประโยชน์คืนในรูปเงินบำนาญ

 

เบี้ยประกันลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ซึ่งถูกนับรวมในโควต้าเกษียณ 500,000 บาท)

 

  • ข้อดี: การันตีผลตอบแทนและกระแสเงินสดแน่นอนหลังเกษียณ ไม่มีความผันผวนเหมือนการลงทุน
  • ข้อควรพิจารณา: ต้องออมระยะยาวถึงอายุ 55–60 ปี สภาพคล่องต่ำ และผลตอบแทนมักต่ำกว่า RMF

 

เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการความมั่นคงสูง รับความเสี่ยงต่ำ และอยากมีรายได้แน่นอนหลังเกษียณ

 

สิทธิลดหย่อนอื่นๆ ที่ชาวออฟฟิศไม่ควรมองข้าม

 

1. ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย

 

สิทธิประโยชน์ก้อนใหญ่ของคนผ่อนบ้านหรือคอนโดฯ สามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายจริงทั้งปีมาลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท (หากกู้ร่วม ให้แบ่งสิทธิตามสัดส่วน)

 

2. เงินบริจาค

 

การสนับสนุนมูลนิธิ สถานศึกษา หรือโรงพยาบาลรัฐ สามารถลดหย่อนได้ตามจริง หรือสูงสุด 2 เท่าในกรณีพิเศษ เช่น โรงพยาบาลรัฐ โดยไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น แนะนำให้บริจาคผ่านระบบ e-Donation เพื่อความสะดวกและตรวจสอบได้ง่าย

 

3. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ชั่วคราว)

 

ติดตามนโยบายภาครัฐช่วงปลายปี เช่น Easy E-Receipt หรือ เที่ยวดีมีคืน เพื่อเปลี่ยนค่าใช้จ่ายจำเป็นให้กลายเป็นวงเงินลดหย่อนเพิ่มเติม

 

ซื้อลดหย่อนแต่พอดี อย่าซื้อเกินโควต้า

 

การซื้อลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การซื้อให้เต็มทุกโควต้า แต่คือการซื้อเพื่อลด “เงินได้สุทธิ” ให้อยู่ในฐานภาษีที่ต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้

 

เป้าหมายสูงสุดคือ ทำให้ ‘เงินได้สุทธิ’ เหลือไม่เกิน 150,000 บาท เพราะฐานนี้เสียภาษี 0%

 

ตัวอย่าง:

 

เงินเดือน 40,000 บาท (ไม่มีโบนัส)

เงินได้ทั้งปี = 40,000 × 12 = 480,000 บาท

หักลดหย่อนพื้นฐาน (ส่วนตัว + ค่าใช้จ่าย + ประกันสังคม) สมมติ 169,000 บาท

เงินได้สุทธิก่อนลดหย่อนเพิ่ม = 311,000 บาท

 

เพื่อไม่ต้องเสียภาษี เป้าหมายคือทำให้เหลือ 150,000 บาท

ดังนั้น ยอดที่ควรซื้อเพิ่มคือ 161,000 บาท

 

สำหรับพนักงานเงินเดือน 40,000 บาท จึงไม่จำเป็นต้องซื้อ RMF 500,000 + ThaiESG 300,000 + ประกัน 100,000 รวม 900,000 บาท เพราะซื้อเพิ่มเพียง 161,000 บาท ก็เพียงพอให้ไม่ต้องเสียภาษีแล้ว

 

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรคำนวณเงินได้สุทธิของตนเองให้ชัด และสำรวจสิทธิ์ที่มีอยู่แล้ว เพื่อใช้ประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า โดยไม่กระทบสภาพคล่องทางการเงิน

 

สรุป:

 

การซื้อลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงานออฟฟิศ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินไป หากรู้จักวางแผน ตรวจสอบสิทธิ์ และเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิตของตัวเอง ทุกบาทที่จ่ายจะไม่สูญเปล่า แต่กลายเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่มั่นคงกว่าเดิม

 

ภาพ: Sergiy Trofimov Photography/Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising