ความเครียดหรือภาวะ ‘หมดไฟ’ จากการทำงาน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หลายคนใช้พิจารณาเกี่ยวกับการตัดสินใจว่ารับงานหรือทำงานนั้นๆ ต่อไปหรือไม่
จากการสำรวจความเห็นของคนทำงานในสหรัฐฯ จำนวน 18,911 ราย โดย Joblist ประจำไตรมาส 3 พบว่า 35% ของผู้ให้ความเห็นมองว่าความเครียดหรือภาวะหมดไฟส่งผลอย่างมากต่อการทำงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- LinkedIn เปิดโผ 20 ทักษะในการทำงานที่องค์กรตามหากันมากที่สุด
- เกือบครึ่งของชาวอเมริกันที่เรียนสาขาวิชามนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ ‘เสียใจ’ ที่เลือกเรียน
- ‘การลาออกครั้งใหญ่’ อาจกลายเป็น ‘การกลับไปทำงานครั้งใหญ่’ ด้วย 26% ของพนักงานที่ออกเสียใจกับการตัดสินใจ เพราะการหางานใหม่ ‘ยาก’ กว่าที่คิด
แต่นอกจากเรื่องความเครียดแล้ว เรื่องของผลตอบแทนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นแล้ว หากเป็นไปได้หลายคนก็คงอยากจะทำงานที่มีความเครียดน้อย ขณะเดียวกันก็ได้รับผลตอบแทนสูง
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ชื่อว่า Occupational Information Network หรือ O*NET ได้จัดทำลิสต์ของอาชีพเกือบ 900 สายงาน และได้จัดลำดับของงานเหล่านี้ตามระดับความเครียด
ขณะที่ CNBC ได้รวบรวม 10 อาชีพ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าปีละ 100,000 ดอลลาร์ หรือราว 3.8 ล้านบาท และเป็นอาชีพที่มีระดับความเครียดต่ำ วัดจากคะแนนที่ต่ำกว่า 70 จากคะแนนเต็ม 100
อย่างไรก็ตาม Sinem Buber หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ZipRecruiter ย้ำว่า อาชีพเหล่านี้ไม่ใช่อาชีพที่ปราศจากความเครียดเลย แต่เป็นงานที่มีความเครียดต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอาชีพอย่างนักจิตวิทยาหรือแพทย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน
นอกจากนี้ อาชีพที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าโดยตรง ไม่ต้องเร่งทำงานให้ทันกับเดดไลน์ และมีภาวะการแข่งขันต่ำ มักจะเป็นอาชีพที่มีความเครียดต่ำกว่า ซึ่งอาชีพเหล่านี้มักจะขึ้นตรงกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานท้องถิ่น หรือหน่วยงานราชการ
Vicki Salemi ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ Monster กล่าวว่า ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความเครียดในการทำงาน ได้แก่ พื้นที่ที่เราทำงานอยู่ ชั่วโมงการทำงาน และนายจ้าง โดยยกตัวอย่างว่า หากนักคณิตศาสตร์ต้องทำงานให้กับบริษัทที่กำลังจะลดพนักงานลงก็อาจทำให้เกิดความเครียดสูงได้เช่นกัน
และนี่คือ 10 อาชีพที่ความเครียดต่ำ และมีรายได้เฉลี่ยเกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี
1. นักวัสดุศาสตร์ (Materials Scientist)
รายได้เฉลี่ย 100,090 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่วิจัยและมองหาแนวทางในการผสมผสานและดึงเอาจุดเด่นของวัสดุต่างๆ ออกมาใช้ประโยชน์
2. นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Analyst)
รายได้เฉลี่ย 100,910 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ การเงิน และเศรษฐกิจ เพื่อนำมาประมวลผลและให้คำแนะนำสำหรับการตัดสินใจด้านธุรกิจ
3. นักเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing Scientist or Technologist)
รายได้เฉลี่ย 104,100 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมด้วยเทคโนโลยีทางอากาศหรือดาวเทียม เพื่อช่วยแก้ปัญหาในด้านต่างๆ เช่น การวางผังเมือง, วางระบบรักษาความปลอดภัย และบริหารจัดการทรัพยากร
4. อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ (Economics Professor)
รายได้เฉลี่ย 104,940 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่ถ่ายถอดความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ให้กับนักศึกษาปริญญาตรีหรือโท ส่วนมากแล้วตำแหน่งนี้จะต้องการผู้ที่จบปริญญาโทเป็นอย่างน้อย
5. นักวิศวกรเคมี (Chemical Engineer)
รายได้เฉลี่ย 105,550 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่ออกแบบโรงงานเคมี ทั้งในส่วนของอุปกรณ์ ขั้นตอนการผลิต และกระบวนการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย
6. นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Economist)
รายได้เฉลี่ย 105,630 ดอลลาร์ต่อไป
ทำหน้าที่จัดทำงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานทางเลือก รวมทั้งตีพิมพ์บทความทางวิชาการเกี่ยวกับการคาดการณ์และประเมินข้อดีและข้อเสียของนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆ
7. นักคณิตศาสตร์ (Mathematician)
รายได้เฉลี่ย 108,100 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่ปรับใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์มาช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ รวมทั้งจัดทำวิจัย
8. ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพื้นที่ (Brownfield Redevelopment Specialist and Site Manager)
รายได้เฉลี่ย 124,650 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่วางแผนและปรับปรุงพื้นที่ที่ผ่านการพัฒนามาแล้วก่อนหน้านี้และเสื่อมโทรมลงไป โดยออกแบบการใช้ทรัพยากรที่มีให้สอดคล้องกับกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานต่างๆ
9. ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Resource Specialist)
รายได้เฉลี่ย 137,900 ดอลลาร์ต่อปี
ทำหน้าที่ออกแบบและควบคุมโครงการให้เป็นไปตามแผนการบริหารจัดการน้ำ
10. นักฟิสิกส์ (Physicist)
รายได้เฉลี่ย 152,430 ดอลลาร์ต่อปี
จัดทำวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ด้านฟิสิกส์ วิเคราะห์และประเมินผลข้อมูล รวมทั้งพัฒนาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ค้นพบ
อ้างอิง: