×

นโรไวรัสระบาดจริงหรือไม่? รับมือกับข่าวโรคระบาดอย่างไรไม่ให้ตื่นตระหนก

21.12.2024
  • LOADING...
norovirus-outbreak-how-to-handle-news

ทุกครั้งที่เราได้ยิน ‘ข่าวการระบาด’ ของโรคที่ไม่คุ้นหู

 

โรคนั้นอาจเป็นโรคที่ไม่เคยพบมาก่อน (โรคอุบัติใหม่) โรคที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว (โรคอุบัติซ้ำ) หรือโรคที่พบบ่อยแต่ไม่ค่อยเป็นข่าว (โรคประจำถิ่น) แต่เราก็มักจะนึกถึงฝันร้ายโควิด-19 เมื่อ 5 ปีก่อน เกิดเป็นความกังวลว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเช่นนั้นอีก ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เราจะรับมือกับข่าวโรคระบาดอย่างไรไม่ให้ตื่นตระหนก

 

ในฐานะแพทย์ระบาดวิทยา ขอแนะนำให้ใช้ ‘คำถาม 3 ข้อ’ ในการรับมือกับข่าวโรคระบาด และยกตัวอย่างข่าว ‘โนโรไวรัสระบาด’ ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในขณะนี้

 

ถามตัวเองก่อน 3 ข้อ

 

ก่อนที่สิ่งที่เรารับรู้จะกลายเป็นความกังวล ผมอยากให้ตั้งสติด้วยคำถามที่ผมประยุกต์มาจากขั้นตอนการทำงานของทีมตระหนักรู้สถานการณ์ (Situation Awareness Team: SAT) ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวัง เตือนภัย ประเมินสถานการณ์ และรายงานโรคและภัยสุขภาพในพื้นที่ที่รับผิดชอบ สรุปเป็นคำถาม 3 ข้อ ดังนี้

 

  1. ข่าวจริงหรือไม่? เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของข่าว เริ่มจากตรวจสอบ ‘แหล่งข่าว’ คือมีที่มาชัดเจน เป็นบุคคลหรือหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานรัฐ สำนักข่าว เพราะบางครั้งอาจเป็นข่าวลือ จากนั้นตรวจสอบ ‘ข้อเท็จจริง’ โดยอาจเปรียบเทียบ (รีเช็ก) กับแหล่งข่าวอื่น หรือสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนั้นๆ 

 

เมื่อตรวจสอบแล้วว่าเป็นข่าวจริง ก็ไปต่อกันที่ข้อถัดไป

 

  1. เราเสี่ยงแค่ไหน? เป็นการประเมินความเสี่ยงจากโรคนั้นๆ พิจารณาจาก ความเสี่ยง = โอกาสที่จะเกิด x ความรุนแรง แปลให้เข้าใจง่ายคือ ความเสี่ยงขึ้นกับว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ และถ้าเกิดแล้วเราจะป่วยรุนแรงหรือไม่

 

ปัจจัยแรก เรามีโอกาสป่วยเป็นโรคนั้นหรือไม่ การตอบคำถามนี้เราควรมีความรู้เกี่ยวกับ ‘โรค’ ก่อน จากนั้นเปรียบเทียบกับ ‘ตัวเรา’ ว่าเกี่ยวข้องกับโรคนั้นเพียงใด

 

เราควรมีความรู้เกี่ยวกับโรคใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1. เชื้อโรค เกิดจากเชื้ออะไร ติดต่อผ่านทางไหน มีพาหะนำโรคหรือไม่ 2. คน เกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน และเมื่อไร เช่น กลุ่มอายุใดที่พบผู้ป่วยมากที่สุด มีรายงานผู้ป่วยในประเทศไทยหรือไม่ เมื่อเดือนอะไร 3. สิ่งแวดล้อม เกิดในสภาพแวดล้อมแบบใด เช่น ฤดูอะไรที่พบผู้ป่วยมากที่สุด หลังจากเกิดภัยพิบัติอะไรแล้วพบผู้ป่วยมากขึ้น

 

ตัวอย่างการเปรียบเทียบกับตัวเรา เช่น เรามีพฤติกรรมเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ตัวเราหรือไม่ เรามีอายุอยู่ในกลุ่มที่พบผู้ป่วยจำนวนมากหรือไม่ เราอยู่ในพื้นที่ที่มีรายงานโรคหรือไม่ เป็นต้น

 

ปัจจัยที่ 2 ถ้าป่วยแล้ว เราจะป่วยรุนแรงหรือไม่ พิจารณาจาก ‘อัตราป่วยตาย’ ว่าในคนป่วย 100 ราย พบเสียชีวิตกี่ราย เช่น โควิด-19 ในช่วงแรกมีอัตราป่วยตาย 2% บางโรคมีอัตราป่วยตายสูงกว่านั้น เช่น อีโบลา 25-90% และพิจารณาจาก ‘กลุ่มเสี่ยงอาการรุนแรง’ ว่ากลุ่มใดที่ต้องนอนโรงพยาบาล/เสียชีวิตบ้าง ซึ่งมักเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนทั่วไป

 

นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาจาก ‘การรักษา’ ว่ามียารักษาเฉพาะ เช่น ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสหรือไม่

 

เมื่อพิจารณาทั้งสองปัจจัยแล้วก็จะสามารถสรุปได้ว่า เรามีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง-สูง

 

  1. เราควรทำอะไร? เป็นการระบุวิธีการป้องกันการป่วยและอาการรุนแรง ระดับความเข้มขึ้นกับความเสี่ยงที่เราประเมินได้ โดยการปฏิบัติตัวแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 

 

  1. การป้องกันโรค มีวัคซีนป้องกันโรคหรือไม่ มีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคอะไรบ้าง ซึ่งจะขึ้นกับวิธีการติดต่อ เช่น โรคติดต่อทางเดินหายใจ ป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือเป็นประจำ 2. การสังเกตอาการ อาการของโรคมีอะไรบ้าง อาการแบบใดที่ควรไปพบแพทย์ เพื่อจะได้รีบไปโรงพยาบาล และ 3. การรักษาโรค หากไม่มียารักษาเฉพาะก็จะเป็นยารักษาตามอาการ

 

ยกตัวอย่างข่าวโนโรไวรัสระบาด

 

โนโรไวรัส เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง มักพบการระบาดในฤดูหนาว หลายคนมักจะเชื่อมโยงโรคอุจจาระร่วงกับฤดูร้อน เพราะอากาศร้อนทำให้อาหารบูดเสียง่าย ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘แบคทีเรีย’ เติบโตได้เร็วขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ทว่าตรงกันข้ามกับ ‘ไวรัส’ ที่มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง จึงพบโรคอุจจาระร่วงในช่วงนี้ได้เช่นกัน

 

ข่าวโนโรไวรัสระบาดมี 2 ข่าวหลักด้วยกัน คือ การระบาดของโนโรไวรัสที่ประเทศจีน และการระบาดของโรคอุจจาระร่วงในงานกีฬาสีที่จังหวัดระยอง มีนักเรียนป่วยมากกว่า 1,400 ราย

 

เริ่มจากคำถามข้อแรก 1. ข่าวจริงหรือไม่? วิธีการตรวจสอบข่าวที่ผมใช้บ่อยคือการค้นหาในเว็บไซต์ Google ด้วยคำค้น ชื่อโรค ตามด้วยชื่อสถานที่ และเวลา และหากเป็นการระบาดในต่างประเทศควรใช้ภาษาอังกฤษ เช่น Norovirus China 2024 พบว่า

 

– การระบาดของโนโรไวรัสในหลายพื้นที่ของประเทศจีน เป็น ‘ข่าวจริง’ และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งประเทศจีนได้ออกคำแนะนำแนวทางการป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัสในโรงเรียนและสถานที่สำคัญ เช่น ศูนย์เด็กเล็ก และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ

 

– การระบาดของโรคอุจจาระร่วงในงานกีฬาสีที่จังหวัดระยองจากโนโรไวรัส เพจกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สาเหตุจากเชื้ออีโคไล และโคลิฟอร์มแบคทีเรีย (แบคทีเรียที่พบในแหล่งน้ำ ดิน และอุจจาระ)

 

ทว่าเมื่อสืบค้นข่าวย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เคยแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า เกิดจากการติดเชื้อโนโรไวรัสที่ปนเปื้อนมากับน้ำและน้ำแข็ง ซึ่งหากอ้างอิงตามข่าวนี้ก็ไม่น่าจะใช่ ‘ข่าวปลอม’ แต่อย่างใด ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึง

ควรอธิบายเพิ่มเติมว่าเพราะอะไรที่ทำให้ข้อเท็จจริงถึงไม่ตรงกัน 

 

  1. เราเสี่ยงแค่ไหน? โนโรไวรัสก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง สามารถติดต่อได้ง่าย เนื่องจากไวรัสจำนวนไม่ถึง 100 ตัวสามารถก่อให้เกิดโรคได้ ติดต่อผ่านการปนเปื้อนของอาหารและน้ำ พื้นผิวที่ปนเปื้อนอาเจียนหรืออุจจาระ และมีรายงานว่าติดต่อผ่านอากาศได้ โดยละอองขนาดเล็กเกิดจากการอาเจียนแรงหรือแรงดันน้ำหลังกดชักโครก แต่ไม่ใช่วิธีการติดต่อหลัก

 

เด็กและผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อโนโรไวรัสได้ ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ไข้ต่ำๆ มักหายได้เองภายใน 1-3 วัน แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรงจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ การรักษาเป็นการรักษาตามอาการ ไม่มียาต้านไวรัส ดังนั้นอาการและความรุนแรงของโนโรไวรัสจึงใกล้เคียงกับโรคอุจจาระร่วงทั่วไป

 

เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการติดเชื้อ และช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ซึ่งอากาศเย็นต่อเนื่องหลายวัน ผมจึงประเมิน ‘โอกาสที่จะเกิด’ อยู่ในระดับปานกลาง ส่วน ‘ความรุนแรง’ อยู่ในระดับต่ำ ประมวลเป็นความเสี่ยง = โอกาสที่จะเกิด x ความรุนแรง ในระดับปานกลาง

 

  1. เราควรทำอะไร? โนโรไวรัสยังไม่มีวัคซีนป้องกัน จึงต้องเน้นที่สุขอนามัยส่วนบุคคล 

 

โรคนี้ติดต่อผ่านอาหารและน้ำ จึงควรยึดหลัก ‘กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ’ และ ‘สุก ร้อน สะอาด’ คืออาหารต้องปรุงสุก หากปรุงไว้นานเกิน 2 ชั่วโมงควรนำมาอุ่นร้อน น้ำและน้ำแข็งต้องสะอาด ที่สำคัญคือต้องล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่ เนื่องจากแอลกอฮอล์ไม่สามารถฆ่าเชื้อโนโรไวรัสได้

 

การรักษาเหมือนโรคอุจจาระร่วงทั่วไป คือ ดื่มน้ำเกลือแร่ชดเชย ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง อาการจะดีขึ้นเองภายใน 1-3 วัน อาการที่ควรไปพบแพทย์คือ ถ่ายอุจจาระมากหรือเป็นมูกเลือด อาเจียนบ่อย ดื่มน้ำเกลือแร่ไม่ได้ อ่อนเพลีย

 

โดยสรุปเมื่อได้ยินข่าวการระบาดของโรค ผมแนะนำให้รับมือด้วยการถามตัวเองก่อน 3 ข้อ คือ 1. ข่าวจริงหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจเป็นข่าวปลอม 2. เราเสี่ยงแค่ไหน ขึ้นกับโอกาสที่จะเกิด x ความรุนแรง ทำให้เราไม่กังวลมากเกินไป แต่ก็ไม่ชะล่าใจ และ 3. เราควรทำอะไรเพื่อป้องกันโรค ส่วนโนโรไวรัสไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ เป็นโรคประจำถิ่นที่มักพบการระบาดในช่วงฤดูหนาว การป้องกันและการรักษาเหมือนกับโรคอุจจาระร่วงอื่น ที่ต้องเน้นย้ำคือต้องล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่เท่านั้น

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X