Daron Acemoglu, Simon Johnson และ James A. Robinson นักเศรษฐศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (14 ตุลาคม) จากผลงานเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่งระหว่างประเทศ
นักวิชาการที่ได้รับรางวัลโนเบลเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่าเหตุใดสังคมที่มี ‘หลักนิติธรรมที่ไม่ดี และสถาบันที่เอารัดเอาเปรียบประชากร จึงไม่สามารถสร้างการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันทางสังคมต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 2 นักวิทยาศาสตร์ผู้วางรากฐาน Machine Learning ชนะรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี 2024
- ‘เจ้าพ่อ AI’ คว้าโนเบล! แต่กลับเตือนภัย ‘AI อาจทำลายล้างมนุษย์’ เรียกร้องบริษัทเทคยกระดับความปลอดภัย
- Nihon Hidankyo องค์กรช่วยผู้รอดชีวิตจากนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ชนะรางวัลโนเบลสันติภาพ
Acemoglu และ Johnson เป็นศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ในขณะที่ Robinson เป็นผู้อำนวยการสถาบัน Pearson เพื่อการศึกษาและแก้ไขความขัดแย้งระดับโลกของมหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจของแอฟริกาใต้ซาฮารา และลาตินอเมริกา
Acemoglu และ Robinson เขียนหนังสือยอดนิยมในปี 2012 เรื่อง Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty ซึ่งสำรวจถึงรากเหง้าของความไม่เท่าเทียมกัน และสาเหตุที่บางประเทศประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งและอิทธิพล
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันประเทศที่ร่ำรวยที่สุด 20% มีความมั่งคั่งมากกว่าประเทศที่ยากจนที่สุด 20% ประมาณ 30 เท่า โดยประเทศที่ร่ำรวยที่สุดมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเทศที่ยากจนที่สุดไม่สามารถปิดช่องว่างความยากจนได้ กลายเป็นเหตุผลที่ได้รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์
ผู้ได้รับรางวัลยังได้อธิบายว่าระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่ประเทศอาณานิคมนำมาใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมามีส่วนสำคัญอย่างไรในการสร้างความแตกต่างนี้ และประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงเวลาของการล่าอาณานิคมเมื่อเทียบกันแล้วกลับกลายเป็นสถานที่ที่ยากจนในปัจจุบัน
ประเทศที่พัฒนาสถาบันที่มีความครอบคลุม ซึ่งยึดมั่นในหลักนิติธรรมและสิทธิในทรัพย์สิน มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ประเทศพัฒนาที่มีสถาบันที่แสวงหาผลประโยชน์ หรือบีบทรัพยากรจากประชากรในวงกว้างเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนำ ประสบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง
Jakob Svensson ผู้อำนวยการและศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม กล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า พวกเขาได้ริเริ่มแนวทางใหม่ทั้งเชิงประจักษ์และเชิงทฤษฎี ซึ่งช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามที่ว่า ทำไมช่องว่างระหว่างประเทศยากจนและประเทศร่ำรวยจึงยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังคงเป็น ‘หนึ่งในคำถามเร่งด่วนที่สุดในสาขาสังคมศาสตร์’
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘รางวัลธนาคารกลางสวีเดนในสาขาเศรษฐศาสตร์เพื่อรำลึกถึง Alfred Nobel’ จะได้รับเงินรางวัล 11 ล้านโครนสวีเดน หรือคิดเป็นประมาณ 1.058 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคารกลางสวีเดน
เงินรางวัลจะได้รับการแบ่งเท่าๆ กันระหว่างผู้ชนะ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2022 เมื่อรางวัลได้รับการแบ่งระหว่างนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐฯ ได้แก่ Ben Bernanke, Douglas Diamond และ Philip Dybvig สำหรับการวิจัยเกี่ยวกับธนาคารและวิกฤตการณ์ทางการเงิน
ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2023 ได้แก่ Claudia Goldin นักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่พยายามเน้นย้ำถึงสาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันของค่าจ้างและตลาดแรงงานระหว่างผู้ชายและผู้หญิง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ประกาศรางวัลในหลายสาขาได้แก่ การแพทย์, ฟิสิกส์, เคมี, วรรณกรรม และสันติภาพ
โดยรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2024 มอบให้แก่องค์กร Nihon Hidankyo ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูของญี่ปุ่น เพื่อเป็นการยกย่องความพยายามในการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ออกจากโลก
รางวัลสาขาเศรษฐศาสตร์ได้รับการเสนอชื่อในปี 1968 เพื่อเป็นเกียรติแก่การครบรอบ 300 ปีของธนาคารกลางสวีเดน และมีการมอบรางวัลครั้งแรกในปีถัดมา ราชบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนจะคัดเลือกผู้ชนะ เพื่อยกย่องผลงานที่มี ‘ความสำคัญโดดเด่น’
ภาพ: Nobel Prize / Facebook
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2024/10/14/nobel-economics-prize-given-to-us-based-economists-for-work-on-prosperity.html
- https://edition.cnn.com/2024/10/14/business/nobel-prize-economics-acemoglu-johnson-robinson/index.html