ไซมอน แบบติสท์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกของ Economist Intelligence Unit คาดการณ์ว่า สงครามในยูเครนยังคงยืดเยื้อและการระบาดของไวรัสโควิดยังทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจซบเซาจะยังคงอยู่ ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่ต่ำและอัตราเงินเฟ้อที่สูง โดยเฉพาะอย่างน้อยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
แบบติสท์อธิบายว่า การระบาดของโควิด ตลอดจนสงครามในยูเครนได้ขัดขวางอุปทานของโภคภัณฑ์และสินค้าต่างๆ รวมถึงส่งผลกระทบต่อระบบการจัดจำหน่ายผ่านห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น เชื้อเพลิงและอาหารสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในมุมมองของแบบติสท์ สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลแต่ละประเทศยังคงมีช่องทางให้ดิ้นรนไปต่อได้ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงสูง และการค้าขายลงทุนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วราบรื่นเนื่องจากเงื่อนไขของสงครามและโควิด
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ เชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP Capital ที่มองว่ายังไม่เห็นสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในช่วง 18 เดือนข้างหน้านี้
โดยสองนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเริ่มคลี่คลายในช่วงไตรมาสหน้า แต่จะยังคงสูงกว่าก่อนสงครามในยูเครนอย่างถาวร ด้วยเหตุผลง่ายๆ เนื่องจากผู้ส่งออกรายใหญ่ได้ลดการส่งออกลง
นอกจากนี้ แม้ว่าราคาที่สูงขึ้นของสินค้าจะสร้างความเจ็บปวดให้กับภาคครัวเรือน แต่ด้วยการเติบโตอย่างช้าๆ ในหลายพื้นที่ของโลก บวกกับตลาดงานที่ยังไม่ล่มสลาย จะช่วยประคองให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมไม่ถดถอย ยังคงเติบโตอย่างช้าๆ
วันเดียวกันมีรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มความเร่งด่วนให้กับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุควิกฤต หลังจากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งมีรายงานว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสเปนก็สูงกว่าประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์
ทั้งนี้ ด้วยแรงหนุนจากต้นทุนพลังงานและอาหารที่เพิ่มขึ้นทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมของเยอรมนี เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของทวีปนี้พุ่งขึ้น 8.7% จากปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ที่สำรวจโดย Bloomberg คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ที่ 8.1%
รายงานดังกล่าวมีขึ้นเพียง 10 วันก่อนการประชุมธนาคารกลางยุโรป ซึ่งเจ้าหน้าที่จะประกาศสรุปการซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่และยืนยันแผนการที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี
อ้างอิง:
