×

‘ไนกี้ x ลิเวอร์พูล’ ทำไมหงส์แดงถึงอยากติดปีกเทพีแห่งชัยชนะ?

08.01.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • ในที่สุดก็มีการแถลงออกมาอย่างเป็นทางการ สำหรับการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์อุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง ‘ไนกี้’ กับยอดสโมสรที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดบนเกาะอังกฤษชั่วโมงนี้อย่าง ‘ลิเวอร์พูล’ ซึ่งไนกี้จะเริ่มผลิตชุดแข่งขันให้ลิเวอร์พูลตั้งแต่ฤดูกาล 2020/21 เป็นต้นไป แทนที่ของนิวบาลานซ์ ที่กำลังจะหมดสัญญาในกลางปีนี้
  • แม้ว่าที่ผ่านมานิวบาลานซ์จะยื่นข้อเสนอเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ด้วยความหวังที่ต้องการผลิตชุดแข่งและอุปกรณ์กีฬาให้ยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ต่อไป แต่ดูเหมือนเรื่องของชื่อชั้น ‘แบรนด์’ และ ‘ช่องทางการจัดจำหน่าย’ ในฉบับของไนกี้ จะเป็นสิ่งที่ต้องตาต้องใจของลิเวอร์พูลที่สุดในเวลานี้

จากชัยชนะในสนามที่เหลือเชื่อในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ ด้วยการที่ทีมชุดสำรองสามารถสยบคู่ปรับร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตันลงได้ วันนี้ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ประกาศชัยชนะนอกสนามต่อเนื่องครับ กับการประกาศอย่างเป็นทางการในการจับมือกับ ‘ไนกี้’ แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนสโมสรในเรื่องชุดแข่งขันรายใหม่

 

ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจนร้องเสียงสูงว่า เซอร์ไพรส์ (ในตอนที่ได้ตัว ทาคุมิ มินามิโนะ อันนั้นสิเซอร์ไพรส์จริง) เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ก็มีข่าวเป็นระยะว่า ลิเวอร์พูลอาจจะเปลี่ยนสปอนเซอร์ชุดแข่งจากนิวบาลานซ์เป็นไนกี้แทน

 

ก่อนที่เรื่องจะบานปลายถึงขั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เนื่องจากนิวบาลานซ์ ในฐานะเจ้าของสัมปทานเดิมต้องการสู้เต็มที่ เพื่อรักษาสิทธิ์ในการผลิตชุดกีฬาของลิเวอร์พูลเอาไว้ให้ได้ โดยพร้อมจะทุ่มเงินให้มากเท่ากับที่ไนกี้มอบให้

 

จริงๆ ทุกอย่างก็ชัดเจนตั้งแต่ในช่วงเวลานั้น (เดือนตุลาคม) แล้วครับว่า นิวบาลานซ์แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง เพราะคู่กรณีของเขาไม่ใช่ไนกี้ แต่กลับเป็นลิเวอร์พูล ซึ่งนั่นหมายความว่า ต่อให้นิวบาลานซ์เป็นผู้ชนะในศาล ก็ยากที่พวกเขาจะกลับมาจับมือและมองตากันได้แบบสนิทใจ

 

 

เพียงแต่ยักษ์เล็กจากบอสตันเองก็ต้องพยายามต่อสู้เต็มที่ เพราะการเสียสโมสรอย่างลิเวอร์พูลไป นั่นหมายถึงพวกเขาจะสูญเสียอำนาจในการแข่งขันในตลาดวงการลูกหนังที่ดุเดือดอย่างมาก เพราะในเวลานี้ต้องยอมรับว่า สถานะและความนิยมของลิเวอร์พูลสูงขึ้นมากตามผลงานของทีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

การต่อสู้ในชั้นศาลของทั้งสองฝ่ายยังเปิดเผยรายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่างที่เป็น ‘ความลับ’ ซึ่งความจริงไม่มีใครควรจะรู้

 

โดยเฉพาะข้อเสนอของไนกี้ที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกฝ่ายครับ เพราะตัวเลขเงินรายได้ที่เสนอให้กับลิเวอร์พูลนั้น ความจริงแล้วน้อยกว่าที่นิวบาลานซ์ เสนอให้ในสัญญาฉบับปัจจุบันที่กำลังจะหมดลงในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้เสียอีก

 

ตามข้อมูลที่ถูกเปิดเผยมา ไนกี้เสนอให้ลิเวอร์พูลเพียงปีละ 30 ล้านปอนด์ น้อยกว่าที่ได้รับจากนิวบาลานซ์ถึง 15 ล้านปอนด์ และห่างไกลจากตัวเลขที่มีการเสนอข่าวว่า ทีมดังแห่งเมอร์ซีย์ไซด์จะได้รับเงินมหาศาลถึง 75 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขในระดับเดียวกัน หรือมากกว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้รับจากอาดิดาส

 

ถ้ามองตามตัวเลขแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมลิเวอร์พูลถึงต้องการผละจากนิวบาลานซ์เพื่อไปหาไนกี้ด้วย?

 

เพราะต่อให้จะมีในวงเล็บว่า ไนกี้จะให้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายสินค้าที่ตีตราสโมสรลิเวอร์พูลจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ (ยกเว้นสินค้าประเภทรองเท้าจะลดเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์) นอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินอีก 2 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าสินค้าลิขสิทธิ์ต่อฤดูกาล และส่วนลดอีก 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในสหราชอาณาจักร รวมถึงโบนัสจากความสำเร็จในสนาม เช่น ถ้าได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเอาไป 4 ล้านปอนด์ รองแชมป์ 2 ล้านปอนด์ และอีก 2 ล้านปอนด์ หากได้แชมป์พรีเมียร์ลีก

 

แต่ก็ไม่ได้แปลว่า จะมีอะไรการันตีว่า พวกเขาจะได้มากเท่ากับที่คาดหวังและควรจะได้?

 

 

อย่างไรก็ดี มีการประเมินกันอย่างจริงจังครับว่า สุดท้ายแล้วลิเวอร์พูลน่าจะได้รับเงินรายได้อยู่ที่ราว 60-70 ล้านปอนด์ต่อปี

 

และทีเด็ดจริงๆ ที่ทำให้หงส์แดงต้องการติดปีกของเทพีไนกี้ – เทพีแห่งชัยชนะตามเทพปกรณัมกรีก คือเรื่องของ ‘แบรนด์’ และ ‘ช่องทางการจัดจำหน่าย’

 

สองเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เงินอย่างเดียวไม่สามารถซื้อได้ครับ และไม่ว่านิวบาลานซ์จะพยายามจ่ายให้มากขนาดไหนก็ตาม มันก็อาจไม่มากพอที่จะทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนใจกลับมาหาพวกเขาได้

 

ในเรื่องของแบรนด์นั้น ผมคิดว่า มันค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า ไนกี้ใหญ่กว่า ซึ่งสำหรับลิเวอร์พูลแล้ว สิ่งที่จะช่วยยกระดับให้พวกเขาก้าวไปอยู่เป็นสโมสรแถวหน้าของโลกจริงๆ ในระดับเดียวกับเรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, ยูเวนตุส หรือบาเยิร์น มิวนิก คือการจับมือกับแบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกเท่านั้น

 

 

บนโลกนี้ก็เหลือแค่ ‘อาดิดาส’ และ ‘ไนกี้’ ที่พวกเขาต้องการ

 

และเมื่อคิดถึงสิ่งที่อาดิดาสเคยปฏิเสธที่จะเพิ่มเงินตามข้อเสนอให้กับลิเวอร์พูลเมื่อหลายปีก่อนหลังชุดแข่งขันหมดสัญญาว่า “ผลงานในสนามไม่ดีพอ” (ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะหงส์แดงในยุคนั้นตกต่ำดำดิ่งจริงๆ) การจะกลับมาจับมือกันอีกครั้ง โดยไม่ให้คิดถึงเรื่องเก่าที่ผ่านไปไม่ถึง 10 ปี ก็ออกจะเป็นเรื่องลำบาก

 

ความจริงอาดิดาสเองก็จับจ้องในการเจรจาอยู่ เช่นเดียวกับพูมาที่พร้อมจะเสนอตัวถ้าสบโอกาส แต่ดูเหมือนลิเวอร์พูลจะเชื่อว่า ไนกี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา และสำหรับยักษ์ใหญ่จากออริกอน ลิเวอร์พูลเองก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน

 

นอกจากนี้ไนกี้ยังมีอำนาจการต่อรองพิเศษในเรื่องของอินฟลูเอนเซอร์ที่มีมากมายและหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลกอย่าง เลอบรอน เจมส์ หรือ เซเรนา วิลเลียมส์ (หรือแม้แต่สุดยอดนักวิ่งอย่าง เอเลียด คิปโชเก ที่ลองนึกภาพดูว่า หากใส่รองเท้าวิ่งรุ่นลิเวอร์พูลจะเกิดกระแสแค่ไหน?) 

 

หรือแรปเปอร์ (ที่แฟนบอลหยิบมาเป็นมีมอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะไปหาใครทีมไหน ทีมนั้นแพ้หมด) อย่างเดร็ก

 

 

คนเหล่านี้ฟังดูเหมือนจะไม่น่าจะเกี่ยวกับเกมฟุตบอล แต่ในเชิงของการทำการตลาดแล้ว ทุกอย่างสามารถ ‘ข้าม’ มาหากันได้หมดครับ และกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ทรงพลังอย่างมากด้วย 

 

เหล่าอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้เองที่จะเป็นหัวหอกที่ลิเวอร์พูลหวังว่าจะสามารถช่วยใช้เจาะตลาดและรุกคืบในพื้นที่หัวใจของกลุ่มแฟนใหม่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดตลาดหนึ่งของโลก

 

เพราะนั่นหมายถึงอนาคตที่สดใสในระยะยาวของสโมสร

 

ขณะที่เรื่องที่สองที่ไนกี้ชนะขาดคือ ช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงความสามารถในการผลิตสินค้า ซึ่งตามตัวเลขที่มีการเปิดเผย ไนกี้มีร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าของพวกเขาอย่างน้อย 6,000 แห่ง (บางตัวเลขระบุว่า มีถึง 8,000 แห่ง โดยที่ 500 แห่ง เป็นร้านของพวกเขาเองด้วย) 

 

ส่วนนิวบาลานซ์ไม่เคยจัดจำหน่ายสินค้าของลิเวอร์พูลได้มากเกิน 3,000 ร้านค้าทั่วโลก โดยแม้ว่าจะมีช็อปของตัวเอง 600 แห่ง และที่เป็นแฟรนไชส์อีก 3,500 แห่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วจำหน่ายแค่รองเท้าเท่านั้น

 

ปัญหาหนึ่งของลิเวอร์พูล (และเป็นปัญหาของนิวบาลานซ์ด้วย) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ พวกเขาเติบโตค่อนข้างเร็วเกินกว่าที่คาด ซึ่งเกิดจากความนิยมที่สูงขึ้นตามผลงานภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ทำให้มีความต้องการของสินค้าสูงมาก มากเกินกว่าที่นิวบาลานซ์จะคาดการณ์ได้

 

นั่นทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เพราะต่อให้แฟนบอลมีความต้องการและมีกำลังจะซื้อ แต่ร้านไม่มีสินค้าจำหน่าย บางอย่างแม้แต่ในสโตร์ของสโมสรที่สนามแอนฟิลด์เองก็หาไม่ได้ ทำให้สโมสรสูญเสียโอกาสทางการค้าอย่างมากมายมหาศาล

 

กับไนกี้ที่มีช่องทางจำหน่าย และมีกำลังการผลิตสูงกว่า ปัญหานี้น่าจะหมดไปหรือเบาบางขึ้น (และยังถือเป็น Happy Problem) 

 

 

ดังนั้น การจับมือกับไนกี้ อย่างแย่ที่สุด ต่อให้ได้เงินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก แต่ในเรื่องของแบรนด์และการที่จะมีสินค้าของลิเวอร์พูลไปปรากฏอยู่ทุกที่ทั่วโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าคุ้มค่า

 

แต่เชื่อเถอะครับว่า ตัวเลขสุดท้ายในใจที่ผู้บริหารของลิเวอร์พูลและไนกี้คาดการณ์นั้นมากกว่าตัวเลขประมาณการแน่

 

โดยเฉพาะหากผลงานในสนามยังร้อนแรงต่อเนื่องแบบนี้ ก็ไม่น่ามีอะไรต้องห่วง

 

สิ่งเดียวที่หลายคนห่วง และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้แฟนบอลเดอะ ค็อปจำนวนมากอาลัยการแยกทางกับนิวบาลานซ์ก็คือ ชุดแข่งขัน เพราะต้องยอมรับว่า หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาทำชุดแข่งได้สวยและมีเสน่ห์อย่างมาก

 

ที่ผ่านมา ไนกี้ถูกล้อเลียนว่า ทำชุดแข่งเป็นแพตเทิร์นหมุนเวียนไปใช้ตามสโมสรต่างๆ เช่น เสื้อแข่งของทีม A อาจจะเคยเป็นเสื้อซ้อมของทีม B หรือชุดเหย้าของทีม C อาจจะเคยเป็นชุดเยือนของทีม D

 

แฟนลิเวอร์พูลนั้นเชื่อว่า สโมสรของพวกเขามีเอกลักษณ์และมีความพิเศษที่สโมสรอื่นไม่มี ดังนั้น ความท้าทายของไนกี้คือ การต้องจับเอาเอกลักษณ์และความพิเศษนั้นมาใช้ให้ถูกจุดให้ได้เหมือนที่นิวบาลานซ์เล่นกับประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

ถ้าถามผม ผมเองแอบเป็นห่วง เพราะสไตล์ของไนกี้แล้ว พวกเขาคงไม่มาทำอะไรเป็นพิเศษให้แบบนี้ เพราะมีสโมสรที่ต้องดูแลจำนวนมาก

 

แต่กับลิเวอร์พูล บางทีเราอาจจะได้เห็นแนวทางใหม่ๆ ของไนกี้ได้เหมือนกัน

 

Just (รอ) ดู It กันครับ 🙂

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

FYI
  • ตามรายงานข่าวล่าสุด Daily Mail ระบุว่า ลิเวอร์พูลจะได้รับรายได้จาก Nike ราว 80 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งจะมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกเหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Adidas 75 ล้านปอนด์), แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (Puma 65 ล้านปอนด์), อาร์เซนอล (Adidas, 60 ล้านปอนด์), เชลซี (Nike 60 ล้านปอนด์), และท็อตแนม ฮอตสเปอร์ (Nike 30 ล้านปอนด์)
  • เท่ากับนี่เป็นการประกาศชัยชนะนอกสนามของลิเวอร์พูลไปอีกขั้น ในการก้าวสู่การเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จ และสามารถแข่งขันเรื่องการหารายได้นอกสนามกับคู่แข่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และเชลซี 
  • เรื่องที่น่าสนใจคือ ไม่มีการระบุระยะเวลาในสัญญาของลิเวอร์พูลกับ Nike โดยระบุเพียงกว้างๆ แค่ ‘หลายปี’ หรือ Multi Year แต่ตามรายงานก่อนหน้านี้คาดว่าสัญญาจะอยู่ที่ระยะเวลา 5 ปี
  • อย่างไรก็ดี สองทีมที่ได้รับเงินค่าสปอนเซอร์ชุดแข่งมากที่สุดในโลกคือ เรอัล มาดริด (Adidas 110 ล้านปอนด์) และ บาร์เซโลนา (Nike 100 ล้านปอนด์) โดยทีมที่ได้รับค่าตอบแทนในสัญญามากที่สุดคือ เรอัล มาดริด ที่ 1.32 พันล้านปอนด์ ในสัญญาระยะเวลา 12 ปี
  • คาดว่าสถิติของลิเวอร์พูลจะอยู่ไปอีกระยะ เนื่องจากทีมที่มีโอกาสจะทำลายสถิติมากที่สุดอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสัญญากับ Adidas ถึงปี 2025
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising