ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษสร้างสถิติใหม่อีกครั้ง โดย ดีลอยท์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเผยว่า สโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ สร้างรายได้ 3,600 ล้านปอนด์ในปี 2015/16 สูงขึ้นกว่า 9% จากปี 2014/15 (3,400 ล้านปอนด์) โดยสองสโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์ สร้างรายได้ร้อยละ 50 จากรายได้ทั้งหมด และสร้างกำไรกว่า 500 ล้านปอนด์เมื่อปี 2015/16
ขณะที่สโมสรฟุตบอลทั้งหมด 92 สโมสรในทุกลีกการแข่งขันของอังกฤษสร้างรายได้รวมกันถึง 4,400 ล้านปอนด์ ในฤดูกาลเดียวกัน ถึงแม้ว่า capital expenditure หรือรายจ่ายเพื่อการได้มาของสินทรัพย์ ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการเพื่อหารายได้สูงขึ้นถึง 3% หรือประมาน 313 ล้านปอนด์ ซึ่งก็เป็นสถิติใหม่เช่นกัน
โดยรายได้ทั้งหมดนั้นเกิดจากสโมสรใหญ่ 6 ทีมในอังกฤษได้ร่วมแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ช่วยเพิ่มรายได้ของสโมสรจากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดของรายการที่มียอดรวมทั้งหมดประมาน 100 ล้านปอนด์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนระบบลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ และแต่ละสโมสรได้เซ็นสัญญากับสนับสนุนใหม่ เช่น เชลซีที่ได้สัญญาใหม่กับ Adidas ที่มีมูลค่าสูงถึง 900 ล้านปอนด์ เฉลี่ยเป็นมูลค่า 60 ล้านปอนด์ต่อปี ส่งผลให้รายได้ต่อการแข่งขันแต่ละแมตช์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าขึ้นสูงถึง 4,500 ล้านปอนด์ในฤดูกาลหน้า (2018/19)
จากรายได้มหาศาลที่เกิดขึ้นทำให้พรีเมียร์ลีกอังกฤษยังเป็นลีกที่สร้างสถิติการใช้เงินซื้อนักเตะตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา โดยล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทุ่มซื้อ โรเมลู ลูกากู จากเอฟเวอร์ตันที่ค่าตัว 75 ล้านปอนด์ และ อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ ย้ายจากโอลิมปิก ลียง มาอาร์เซนอล ด้วยค่าตัวสถิติของสโมสร 53 ล้านปอนด์ ส่งผลให้พรีเมียร์ลีกใช้เงินไปแล้วในฤดูกาลนี้สูงถึง 571 ล้านปอนด์ หรือกว่า 25,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งจากดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด รวมถึงผู้สนับสนุนที่สร้างรายได้มหาศาล อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต้องจ่ายค่าตัวนักเตะแพงกว่าสโมสรในลีกอื่น เนื่องจากสโมสรสามารถสร้างมูลค่ามหาศาลจากการลงเล่นของนักเตะ รวมถึงลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของนักเตะแต่ละคนอีกด้วย
ทำไมพรีเมียร์ลีกถึงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
เมื่อปี 2015 โอเวน อีแวนส์ (Owen Evans) บรรณาธิการของ SportBusiness Intertnational ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian เผยว่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษมีข้อได้เปรียบจากลีกสูงสุดของอิตาลี และสเปนตรงที่ผลการแข่งขันในแต่ละนัดไม่สามารถคาดเดาได้ โดยเฉพาะแมตช์ที่สโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางครั้งพ่ายแพ้ให้กับสโมสรน้องใหม่ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดให้แฟนบอลติดตามการแข่งขันทุกแมตช์
โดยเฉพาะในเอเชียซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีการพนันเกี่ยวข้องกับฟุตบอลเป็นจำนวนมาก แฟนคลับ หรือขาพนันต่างก็ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ของผู้จัดการแข่งขัน เพราะถ้าแฟนกีฬารู้ว่าทุกอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ และทางฝ่ายผู้จัดการแข่งขันมีความพยายามที่จะสร้างการแข่งขันที่ยุติธรรมและไม่ช่วยเหลือแต่ทีมใหญ่ พวกเขาก็จะติดตามการแข่งขันที่ไม่ใช่แค่เพียงต้องการการวางเดิมพัน แต่ติดตามเพราะชื่นชอบ สนุก และตื่นเต้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เรามองว่ามีส่วนสำคัญคือ ความได้เปรียบในเรื่องการสื่อสาร เนื่องจากภาษาอังกฤษถือว่าเป็นภาษาทางการ หรือภาษาสากล ทำให้การรายงานข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ สามารถเข้าถึงผู้คนได้หลากหลายกว่า ลีกจากสเปน อิตาลี หรือเยอรมนี จึงได้เกิดการติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของพรีเมียร์ลีกได้ง่ายกว่าลีกอื่นๆ
เห็นได้ชัดจากการติดตามตลาดซื้อขายนักเตะ ที่เรามักจะเห็นข่าวความเคลื่อนไหวของสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกมากที่สุด ส่วนหนึ่งก็แน่นอนว่าจากความต้องการติดตามข่าวสารจากฟุตบอลรายการนี้ เนื่องจากสื่ออังกฤษสามารถถ่ายทอดตัวตนของสโมสร และความตื่นเต้นของการแข่งขันได้เป็นอย่างดี แต่อีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญคือการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีมากกว่าลีกอื่นๆ
พรีเมียร์ลีกอังกฤษถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าสโมสรในอังกฤษจะไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับบาร์เซโลนา หรือเรอัล มาดริด ของสเปน และบาเยิร์น มิวนิก ของเยอรมนี แต่ในการขายสินค้าที่พวกเขามีในราคาที่สูงกว่า (ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด) และเข้าถึงตลาดโลกได้มากกว่าถือเป็นจุดที่พวกเขาประสบความสำเร็จ
ไทยลีกควรเรียนรู้อะไรจากพรีเมียร์ลีก หากอยากขยายฐานแฟนคลับในอาเซียน
จากคำสัมภาษณ์ พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (‘3+1+1’ ทำไมต้องเพิ่มโควตานักเตะอาเซียนในไทยลีก เปิดใจสมาคมฟุตบอลฯ) ซึ่งได้เผยถึงแผนการสร้างฐานแฟนคลับในอาเซียน และเพิ่มการลงทุนจากธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการเปิดพื้นที่ให้นักเตะอาเซียนเข้ามาร่วมแข่งขันในฟุตบอลไทยลีก ด้วยโควต้า 3+1+1 ซึ่งจะเริ่มใช้กับลีกสูงสุดของประเทศไทยในปี 2019 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับลีก
แต่ในงานเสวนา ‘ยกระดับลูกหนังไทยสู่วิธีอาชีพ’ ที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์รังสิตเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการระดมบุคลากรในวงการฟุตบอลมาพูดคุยหาทางพัฒนาฟุตบอลไทยสู่วิถีอาชีพ โดยภาพรวมของงานเสวนาหลายฝ่ายยังเชื่อว่า ฟุตบอลไทยจำเป็นต้องพัฒนาอีกหลายด้านถึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นกีฬาอาชีพเต็มตัว และสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับลีกการแข่งขัน
โดยปัญหาหลักในงานเสวนาสรุปออกมาได้ว่า บุคลากรของวงการฟุตบอลในประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดอบรมศึกษาให้ความรู้ในการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล ซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันถึง 5 ลีก ตั้งแต่ไทยลีก 1 ถึงไทยลีก 5 เพื่อสร้างการแข่งขันที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน
ต่อมาคือการสร้างความรับผิดชอบของนักเตะ และหัวหน้าผู้ฝึกสอนตั้งแต่ระดับเยาวชน ซึ่งจุดนี้จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาบุคลากร ไม่ใช่เพียงแค่ในสนาม แต่ยังรวมถึงแต่ละอาชีพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอลตั้งแต่เอเยนต์ จนถึงผู้ดูแลสนามแข่งขัน
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถือว่ามีประสบการณ์มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ในการจัดการแข่งขันฟุตบอลให้สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตาม ซึ่งไทยลีกปัจจุบันนี้มีพัฒนาการขึ้นจนทำให้นักฟุตบอลหลายคนสามารถเรียกตัวเองได้ว่า นักกีฬาอาชีพ อย่างเต็มตัว แต่สิ่งที่เราควรเรียนรู้จากพรีเมียร์ลีกไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคการนำเสนอ รูปแบบการแข่งขัน และการพัฒนานักฟุตบอล แต่กลับเป็นการปรับตัวที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง เพราะการจะสร้างอะไรก็ตามที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ทุกฝ่ายจำเป็นต้องช่วยเหลือกันจึงจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้
เพราะสโมสร ลีกการแข่งขัน หรือแม้กระทั่งทีมชาติไทย จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ถ้าไม่มีนักเตะคนที่ 12 คอยส่งเสียงเชียร์ในสนาม
อ้างอิง:
- www.theguardian.com/media/2015/aug/15/premier-league-television-marketing-plan-scores-all-over-world-football
- www.bbc.com/news/business-40555593
- www2.deloitte.com/uk/en/pages/press-releases/articles/premier-league-clubs-revenues-grow-to-record.html
- economia.icaew.com/en/news/july-2017/premier-league-clubs-post-record-revenues-of-3-6bn
- www.goal.com/en/news/1862/premier-league/2017/07/12/37012332/premier-league-earnings-to-top-45-billion-deloitte-confirm
- www.thesun.co.uk/sport/football/3994035/premier-league-clubs-spend-572m-plus-add-ons-this-summer-and-its-already-the-fifth-biggest-transfer-window-ever-as-manchester-united-top-spending-league/