×

ปีทอง (อีกครั้ง) ของ คริสเตียโน โรนัลโด

05.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • คริสเตียโน โรนัลโด การันตีบัลลงดอร์สมัยที่ 5 หลังพาทีมเรอัล มาดริด ป้องกันแชมป์ยุโรป
  • 105 ประตูในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก กับ 406 ประตูให้กับสโมสรเรอัล มาดริดทั้งแมตช์ทางการและไม่ทางการ บ่งชี้ว่าเขายังคงเป็นศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรป
  • คงตำแหน่งศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรปด้วยการคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 5  ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012-2017

     คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) รักษาตำแหน่งศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรปได้อีกครั้ง ด้วยการเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ยิงได้มากกว่า 50 ประตูในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (โรนัลโดยิงไปทั้งหมด 54 ประตู) 8 ประตูจาก 2 แฮตทริกในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบรองชนะเลิศ

     และยิงไปแล้ว 105 ประตูในศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

     สถิติเป็นตัวบ่งชี้ว่าโรนัลโดในวัย 32 ปี ยังคงเป็นศูนย์หน้าที่อันตรายที่สุดในยุโรป

     แต่กว่าโรนัลโดจะก้าวข้ามมาถึงจุดนี้ได้ เขาถูกวิจารณ์ว่า ด้วยอายุที่มากขึ้น โรนัลโดจะไม่สามารถเป็นปีกความเร็วสูงที่ฉุดกระชากพากองหลังไปขึ้นรถทัวร์นครชัยแอร์สัก 2 ทริป แล้วค่อยหักเข้ามายิงระยะไกลได้เหมือนอย่างเคย

     คำถามคือ ทำไมโรนัลโดในวันนี้ถึงยังยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และทำลายสถิติฟุตบอลยุโรปได้อย่างต่อเนื่อง

 

Photo: Gerad Julien, AFP/Profile

การวางหมากของ ซีเนดีน ซีดาน

     ปัจจัยสำคัญที่สร้างโรนัลโดและเรอัล มาดริดในฤดูกาลนี้คือการวางหมากของ ซีเนดีน ซีดาน กุนซือของสโมสร และการปรับตัวของโรนัลโด

     ในฤดูกาลนี้ซีดานให้โรนัลโดเข้ามาอยู่หน้ากรอบเขตโทษมากขึ้น และให้นักฟุตบอลรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง มาร์โก อเซนซิโอ ออกไปทำหน้าที่สร้างความตื่นเต้นริมเส้นแทน

     ขณะที่โรนัลโดมีความเด็ดขาดในการยิงประตูจากทั้ง 2 เท้าและจากการโหม่ง

     ผลที่ตามมาคือโรนัลโดสามารถนำสัญชาตญาณนักล่ามาใช้หน้ากรอบเขตโทษแทนการลากเลื้อยเข้าไปทำประตู

     ซึ่งฤดูกาลนี้โรนัลโดยิงไป 37 ประตู โดย 33 ประตูมาจากการยิงในกรอบเขตโทษ

     ขณะที่สถิติการสัมผัสบอลของเขาตลอด 90 นาทีลดลงอย่างต่อเนื่อง

     ฤดูกาลแรกกับเรอัล มาดริด ในปี ค.ศ. 2009-2010 เขาสัมผัสบอล 72.1 ครั้ง แต่ในฤดูกาลนี้เขาสัมผัสบอลเพียง 47.2 ครั้งเท่านั้น

     ตรงข้ามกับสถิติการสัมผัสบอลคือ เปอร์เซ็นต์การยิงประตูในกรอบเขตโทษที่เพิ่มขึ้นจาก 85.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปี ค.ศ. 2012-2013 ปีนี้เขายิงประตูในกรอบเขตโทษได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์

     หากคุณเป็นโค้ชฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าคุณต้องการให้นักเตะของคุณไล่ประกบโรนัลโดอย่างน้อยหนึ่งหรือสองคน

     นี่คือสิ่งที่ ดิเอโก ซิเมโอเน ของแอตเลติโก มาดริด และคาร์โล อันเชล็อตติ  กุนซือบาร์เยิร์น มิวนิกได้ทำ แต่ผลออกมาคือทั้งสองทีมต่างโดนโรนัลโดยิง 2 แฮตทริก รวมกัน 8 ประตูในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบรองชนะเลิศ

     และในนัดชิงชนะเลิศเขาสามารถยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตู โดยแทรกผ่านแนวรับที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในยุโรปของยูเวนตุส และพาทีมป้องกันแชมป์ยูฟ่าได้สำเร็จเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์

 

Photo: Pieere-Philippe Marcou, AFP/Profile

ความเป็นมืออาชีพของคริสเตียโน โรนัลโด

     โรนัลโดเป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลที่มีความเป็นมืออาชีพสูง เขารู้ว่าต้องกินอะไรตอนไหนเพื่อรักษาสภาพร่างกายของเขาให้เต็มร้อยเสมอ ครั้งหนึ่งโรนัลโดเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาอยากจะเล่นฟุตบอลจนถึงอายุ 41 ปี 

     ซึ่งหากดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ก็ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นเขาโลดแล่นในเวทีสูงสุดของฟุตบอลยุโรปไปอีกสักพัก

 

ปี 2006-2008 การเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ของโรนัลโด

     ฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2006 เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่น่าจดจำเท่าไรของแฟนบอลปีศาจแดงและโรนัลโด ซึ่งขณะนั้นยังเป็นดาวรุ่งที่เน้นโชว์ฝีเท้าสับขาหลอกคู่แข่งแต่ไม่สามารถสร้างผลงานได้เป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้ายโปรตุเกสโคจรมาพบอังกฤษ โดย 2 นักเตะของปีศาจแดงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเวย์น รูนีย์ และโรนัลโด ต้องลงสนามในฐานะคู่แข่ง

     ผลในครั้งนั้นโปรตุเกสชนะจุดโทษไป 3-1 พร้อมกับใบแดงของรูนีย์ ที่โรนัลโดมีส่วนในการวิ่งไปกดดันกรรมการให้มอบใบแดงให้กับเพื่อนร่วมทีมของเขา และส่งสัญญาณกับทีมโปรตุเกสด้วยการกะพริบตาข้างเดียว

     ซึ่งหลังจากเกมนั้นสื่ออังกฤษต่างก็โจมตีโรนัลโดกันอย่างพร้อมหน้า รวมถึงเชื่อว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นโรนัลโดในเกาะอังกฤษ หลังจากการกระทำใส่เพื่อนร่วมทีมของเขาและทีมชาติอังกฤษ

     แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามรูนีย์ได้ให้สัมภาษณ์อย่างต่อเนื่องว่าทั้งคู่ไม่มีปัญหากันและพร้อมที่จะลงเล่นด้วยกันอีกครั้ง รวมถึงแกรี เนวิลล์ กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยอมรับว่า วันที่โรนัลโดเดินทางกลับเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษนั้น ร่างกายของโรนัลโดได้เติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวแล้ว

     “สภาพร่างกายของโรนัลโดเปลี่ยนจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขา เขาเป็นเพียงเฟเธอร์เวธ แต่เขากลับมาในรูปร่างแบบไลต์เฮฟวีเวต ซึ่งครั้งนั้นได้ช่วยให้เขาพบกับพละกำลังที่โรนัลโดไม่เคยมีมาก่อน”

     และในฤดูกาล 2006-2007 นั้นเองที่เราได้เห็นโรนัลโด 2.0 เขายังคงเลี้ยงบอลอย่างสวยงาม แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือพละกำลังอันมหาศาล ทั้งการเล่นที่ดุดันขึ้นและเน้นการทำประตูมากกว่าการโชว์ฝีมือการเลี้ยงบอลของเขา

     “วันแรกที่เขามาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาเป็นเด็กที่ชอบโชว์ เขาต้องการโชว์ฝีมือ ทักษะของเขา ด้วยการพยายามเลี้ยงผ่านกองหลัง” ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

     แต่แล้วเขาก็เริ่มรู้ว่าสิ่งสำคัญที่จะพาเขาเข้าสู่นักเตะที่ดีที่สุดในโลกคือการยิงประตู และเป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ และสุดท้ายโรนัลโดก็ผลักดันตัวเองจนเป็นแบบนั้นได้ 

     

จุดเริ่มต้นของเครื่องจักรสังหารประตู

     ตั้งแต่ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดงในปี ค.ศ. 2003 ทุกฤดูกาลโรนัลโดจะพนันกับ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมด้วยเงินหนึ่งร้อยปอนด์ว่าเขาจะสามารถยิงได้กี่ประตูในฤดูกาลนั้น

     โรนัลโดแพ้พนันเมื่อปี ค.ศ. 2004-2005 ก่อนที่ยอดประตูจะขึ้นไปเป็น 15 ประตูในปี ค.ศ. 2005-2006 ซึ่งเขาก็แพ้อีก

     ในปี ค.ศ. 2006-2007 เซอร์อเล็กซ์ตัดสินใจเลิกพนันเนื่องจากได้ติดต่อกันมาหลายปี แต่โรนัลโดในปีนั้นก็เพิ่มเงินพนันเป็น 400 ปอนด์ และชนะการพนันเป็นครั้งแรกในปีนั้น ถือเป็นจุดสิ้นสุดแผนการกระตุ้นของเซอร์อเล็กซ์ในฤดูกาลนั้น

     

โรนัลโด 3.0

     ถึงแม้ว่าการพนันและถ้วยรางวัลต่างๆ ที่โรนัลโดคว้ามาได้ในปี ค.ศ. 2006-2007 โรนัลโดก็ยังไม่พอใจกับฟอร์มการเล่นของเขา ประกอบกับ เรเน มูเลนสตีน กลับคืนโอลด์แทรฟฟอร์ดในปีนั้นในฐานะโค้ชทีมชุดใหญ่ของปีศาจแดง

     ปีนั้นเรเนได้จัดการอบรมเทคนิคครั้งใหญ่ให้กับโรนัลโด โดยเฉพาะในเรื่องของการยิงประตู

     “ผมได้ดูทุกประตูของคุณแล้วนะ คุณยิงไปเพียง 23 ประตู เพราะว่าคุณต้องการประตูที่ดีที่สุด แต่นักเตะที่ดีที่สุดต้องเป็นคนที่ช่วยยกระดับทั้งทีมไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง คุณลองยกระดับทีมดูสิ และทีมจะช่วยยกระดับคุณ”

     ทั้งคู่ร่วมงานกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งศึกษาวิดีโอของศูนย์หน้าระดับตำนานอย่างอลัน เชียเรอร์ และเทียร์รี อองรี เพื่อพัฒนาศักยภาพการยิงประตูของเขา

     ปีนั้นเรเนได้ถามโรนัลโดหลังจากร่วมกันฝึกการจบสกอร์ว่า คุณเชื่อว่าจะยิงได้กี่ประตูในฤดูกาลปี ค.ศ. 2007-2008 ระหว่าง 30-35 โรนัลโดได้ตอบสั้นๆ ว่า 40 ประตู ซึ่งสิ้นสุดฤดูกาลนั้นเขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยยิงไปทั้งหมด 42 ประตู

     และมาถึงวันนี้เขาก็ยังคงสามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทำสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกติดต่อกันถึง 5 สมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012-2017 อีกด้วย

 

Photo: Curto De La Torre, AFP/Profile

ความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ และกระหายชัยชนะอยู่เสมอ

     อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จของโรนัลโดคือความมุ่งมั่น ฟิล เนวิลล์ อดีตเพื่อนร่วมทีมของโรนัลโดเผยว่า สมัยที่ฝึกซ้อมอยู่ด้วยกันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โรนัลโดมักเอาลูกฟุตบอลไปฝึกซ้อมต่อคนเดียว โดยเน้นไปที่การฝึกเลี้ยงบอลและทริกต่างๆ หลังทุกคนฝึกซ้อมเสร็จ

     นอกจากนี้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เผยว่า โรนัลโดเป็นนักฟุตบอลที่กล้าหาญที่สุดที่เขาเคยเจอ โรนัลโดมีความมั่นใจในการลากบอลเข้าไปสู่ใจกลางเกมรับของคู่แข่ง และมีความเชื่อมั่นว่าจะสร้างสิ่งเหลือเชื่อให้เกิดขึ้นทุกครั้งที่ลงสนาม

     แต่อย่างไรก็ตามความมั่นใจของเขาก็ตามมาด้วยความโอหังที่ทำให้นักข่าวกีฬาจากอังกฤษหลายคนใช้คำพูดว่า

     “You’ll love him or you’ll hate him” – คุณไม่ชอบเขา คุณก็เกลียดเขา

     ซึ่งโรนัลโดก็มีปัญหากับแฟนบอลหลายครั้ง แถมล่าสุดในเกมที่เขาโดนแฟนบอลเรอัล มาดริด บางกลุ่มผิวปากใส่เนื่องจากไม่พอใจฟอร์มการเล่น

     หลังเกม เขากลับขอร้องให้แฟนบอลเหล่านั้นหยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเขายืนยันว่าทุกครั้งที่ลงสนามเขาได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

     แตกต่างจากสมัยก่อนที่เรามักจะเห็นเขามีปัญหากับแฟนบอลที่โห่ไล่เขาในสนาม แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่ไม่ใช่เพียงแค่ฝีเท้า แต่ในฐานะนักกีฬาอาชีพคนหนึ่งอีกด้วย

     บทเรียนแห่งความลำบากนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เราหลายคนเคยได้ยินมาแล้ว แต่สิ่งที่โรนัลโดยังคงตอกย้ำให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้คือ การกระหายความสำเร็จ

     ไม่ว่าเขาจะยิงไปกี่ประตู ทำลายสถิติ หรือคว้ารางวัลไปจนสามารถเปิดพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดเขาได้แล้ว

     แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยตอบสนองความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาได้เลย

 

Photo: Javier Soriano, AFP/Profile

     หลายคนชอบนำโรนัลโดไปเปรียบเทียบและถกเถียงกันว่า โรนัลโดหรือเมสซี ใครกันแน่คือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก

     แต่เรื่องนั้นอาจไม่สำคัญ

     ขอให้เราสนุกกับความพิเศษที่โลกของฟุตบอลในยุคหลังปี ค.ศ. 2000 ได้มอบให้กับเราดีกว่า

     ก่อนที่มันจะหมดไปตามวันเวลา

 

อ้างอิง:

     – www.bbc.com/sport/football/39743922

     – www.bbc.com/sport/football/39788520

     – www.goo.gl/BDMRCk

     – www.theguardian.com/football/2017/may/02/all

     – www.dailymail.co.uk/~/article-4502086/index.html

     – www.messivsronaldo.net/records

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising