พูดถึงโรงแรมเปิดใหม่ที่หลายคนเฝ้ารอคอยมากที่สุดในปีนี้ ย่อมต้องมีชื่อ The Standard, Bangkok Mahanakhon รวมอยู่ด้วยแน่นอน อย่างแรกเลยก็เพราะที่นี่เป็นโรงแรมสาขาแรกของแบรนด์ที่มาเปิดในประเทศไทย (ไม่นับรวมโลเคชันหัวหินที่เป็นรีสอร์ต) แถมยังเลือกเปิดอยู่ในตึกมหานครที่เป็นจุดชมวิวสูงสุดในตอนนี้อีก ใครๆ ได้ยินก็ต้องรู้สึกสนใจขึ้นมา
อย่างต่อมาก็ต้องเป็นเรื่องการออกแบบที่โดดเด่น ทั้งความมีสีสันและกลิ่นอายความสนุกที่เป็นซิกเนเจอร์มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าในขณะเดียวกันก็ยังดูมีระดับ สมกับเป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลก
ส่วนเรื่องสุดท้ายที่หลายคนตั้งตารอมากไม่แพ้กัน ก็คงหนีไม่พ้นห้องอาหารและบาร์แห่งใหม่ที่จะกลายเป็นจุดนัดพบใหม่ของคนเมือง ซึ่งวันที่โรงแรมและห้องอาหารจะพร้อมเปิดให้บริการจริงๆ ก็ใกล้เข้ามาทุกที วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนไปชมบรรยากาศกันคร่าวๆ ว่าแต่ละห้องน่าสนใจอย่างไรบ้าง เผื่อว่าใครอ่านจบแล้วอยากรีบจองที่นั่งเพื่อไปชิมเดี๋ยวนั้นเลย
1. Ojo Bangkok
ห้องอาหารแรกที่เราจะพาไปก็คือ ‘Ojo (โอโฮ)’ เป็นห้องอาหารเม็กซิกันบนชั้น 76 ที่มาพร้อมการออกแบบสุดโมเดิร์น ดูหรูหรา ล้อกับแสงอาทิตย์ยามตกดิน โดยที่นี่ได้เชฟฟรานซิสโก ปาโก รูอาโน (Francisco Paco Ruano) ชาวเม็กซิกันแต่กำเนิดมาเป็นผู้ดูแลทุกเมนูให้ ซึ่งเขามีดีกรีเป็นเจ้าของร้าน Alcalde ในประเทศบ้านเกิดที่ได้รางวัล Latin America’s 50 Best Restaurants เป็นตัวการันตีฝีมือ
สำหรับ Ojo เชฟปาโกต้องการนำรสชาติเม็กซิกันแท้ๆ ที่ยังไม่ค่อยเห็นในบ้านเรา มาผสมเข้ากับเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ที่ช่วยยกระดับอาหารเม็กซิกัน ก่อนเสิร์ฟให้พวกเราชิมในสไตล์ของ Ojo ที่ดูดีทั้งหน้าตาและรสชาติ
2. The Parlor
สำหรับที่นี่พูดว่าเป็นเสมือนห้องนั่งเล่นของโรงแรมก็คงได้ เพราะ The Parlor เปิดให้บริการแบบ All Day Dining ทุกคนสามารถมานั่งกินอาหาร ทำงาน หรือนั่งเล่นพูดคุยกันได้ทั้งวัน โดยห้องอาหารจะเสิร์ฟตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อค่ำ หลังพระอาทิตย์ตกจะเสิร์ฟทั้งค็อกเทลและม็อกเทล แถมบางวันจะมีดีเจมาเปิดเพลงสดให้ฟังกันด้วย
The Parlor จะเน้นอาหารไทยที่ปรับให้ทันสมัยและกินได้ทุกคน ไปจนถึงอาหารนานาชาติที่ทุกคนนึกถึง โดยเสิร์ฟให้นั่งกินในบรรยากาศโล่ง โปร่ง รับลมและแสงแดด หรือจะนั่งในมุมส่วนตัว จิบเครื่องดื่มฟังเพลงก็ได้อีกอารมณ์
3. The Standard Grill
ร้านสเต๊กเฮาส์ชื่อดังจากนิวยอร์กก็ยกมาเปิดให้ลองที่นี่เช่นกัน เสน่ห์ของห้องนี้ก็คือเมนูย่างๆ สไตล์อเมริกันสมัยใหม่ ผสมกลิ่นอายคลาสสิกสไตล์นิวยอร์ก โดยห้องอาหารจะเปิดให้บริการทั้งวันเช่นกัน เร่ิมตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และมื้อค่ำ โดยแบ่งเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนด้านนอก เหมาะกับอาหารมื้อแรกของวันหรือมื้อเที่ยง และโซนด้านในที่เหมาะกับดินเนอร์ยามค่ำคืน
เมนูที่เสิร์ฟในห้องนี้จะมีตั้งแต่อาหารทะเล เบอร์เกอร์ โคลด์คัต ซุป และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือเนื้อสเต๊กย่างด้วยถ่านไม้
4. Sky Beach
คิง เพาเวอร์ มหานคร ขึ้นชื่อว่าเป็นตึกสูงมากอยู่แล้ว เมื่อนำบาร์ Sky Beach ไปตั้งข้างบนจึงทำให้ที่นี่เคลมได้ว่าเป็นบาร์รูฟท็อปที่สูงสุดในตอนนี้ทันที แน่นอนว่ามาพร้อมวิวเมืองแบบมองไปทางไหนก็สุดลูกหูลูกตา และเน้นเสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลน่าสนุกเคล้ากับของกินเล่นสไตล์อเมริกัน
บาร์แห่งนี้ต้องขึ้นมาจากทางเข้าหลักของคิง เพาเวอร์ มหานคร และหากใครอยากขึ้นมาก่อนเวลา 19.00 น. ต้องซื้อบัตรเท่านั้น (ราคา 530-880 บาท) แต่หากมาหลังจากเวลาที่กำหนด ต้องเสียค่าเข้า 500 บาท เพื่อนำไปใช้เป็นเครดิตในการสั่งอาหารและเครื่องดื่ม
5. Tease
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในทุกโรงแรมก็คือพื้นที่จิบชายามบ่าย (Afternoon Tea) โดยที่นี่มาพร้อมบรรยากาศเต็มไปด้วยลวดลายสีสันน่าจดจำ เสิร์ฟชาคัดสรรมาอย่างดีให้จิบคู่กับของกินเล่นสไตล์อเมริกันทั้งคาวและหวาน ถ้าใครอยากลองว่าเซ็ตชายามบ่ายสไตล์อเมริกันจะเป็นอย่างไร ต้องแวะมาลองดู
6. Mott 32 Bangkok
ห้องอาหารสุดท้ายที่หลายคนรอคอยมากที่สุด Mott 32 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารจีนชื่อดังที่หากคนไทยแวะไปฮ่องกงเมื่อไรต้องไม่พลาด ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ต้องบินไปไกลถึงเมืองนอกแล้ว เพราะร้านมาเปิดสาขาอยู่ในโรงแรมให้เดินทางมาลองกันง่ายๆ โดย Mott 32 โด่งดังจากการทำอาหารกวางตุ้งสไตล์โมเดิร์น และใช้วัตถุดิบสดใหม่คุณภาพพรีเมียมจากทั่วโลก
และสำหรับสาขาแห่งนี้ในประเทศไทย เชฟตั้งใจจะนำเสนออาหารจีนด้วยเทคนิคสมัยใหม่จากหลายประเทศ ผสมผสานจนเกิดเป็นอาหารจีนกวางตุ้งที่มีกลิ่นอายจากปักกิ่งและเสฉวน ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ก็มี ติ่มซำ เป็ดปักกิ่ง และหมูย่างน้ำผึ้ง