×

สิ่งที่พี่ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ อยากบอกเด็กที่กำลังจะเรียนจบคืออะไรคะ?

06.12.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MINS READ
  • ในฐานะนักสัมภาษณ์ ผมตั้งมั่นว่าผมจะถามคำถามที่เป็นประโยชน์กับคนอ่าน ผมจะถามคำถามที่ให้แรงบันดาลใจกับคนดู ผมจะถามคำถามที่สะท้อนถึงการตกผลึกทางความคิดของคนตอบ และคำตอบนั้นจะเป็นประโยชน์ในการเติบโตของทั้งคนถาม คนตอบ และคนอ่าน และนี่คือสิ่งที่ผมถามและคำตอบที่ผมได้รับ
  • ผมถาม พลอย เฌอมาลย์ ว่า คุณรู้สึกอย่างไรที่ 2 ปีที่หายไปอยู่เงียบๆ จากวงการบันเทิง 2 ปีที่ไม่ต้องโดนตัดสิน และพลอยบอกผมว่า ที่จริงแล้วพลอยเป็นโรคซึมเศร้า และวินาทีนั้น ผมวางบทบาทนักสัมภาษณ์ไว้ข้างๆ แล้วทำหน้าที่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่รับฟังเรื่องราวของเพื่อนมนุษย์อีกคน ฟังอย่างไม่มีการตัดสิน เพราะนาทีนั้น เธอเพียงต้องการคนรับฟัง ไม่ใช่คนที่ตัดสินเธอ และนั่นเป็นสัมภาษณ์ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พลอยยอมพูดเรื่องโรคซึมเศร้า และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง – อย่างที่พลอยทำ
  • คำถามสุดท้ายที่ผมมักจะถามทุกคนในทุกการสัมภาษณ์ก็คือ ผมขอให้เขาเล่า 3 บทเรียนที่มีค่าที่สุดที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิต และคิดว่านี่จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น ผมคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญมาก เพราะมันพาให้คนตอบสำรวจชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเอง และเลือกส่งต่อบทเรียนที่มีค่าที่สุดให้กับคนอื่น ที่สุดแล้วการใช้ชีวิตของเรานั้นก็เพื่อให้เราได้เรียนรู้ และส่งมอบการเรียนรู้นี้ให้กับคนอื่นๆ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

Q: หนูกำลังจะเรียนจบค่ะ ตื่นเต้นเหมือนกันที่กำลังจะกลายเป็นคนทำงาน ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรบ้าง พี่ท้อฟฟี่มีอะไรอยากบอกเด็กที่กำลังจะเรียนจบอย่างหนูและอีกหลายๆ คนไหมคะ



A: ยินดีด้วยกับว่าที่บัณฑิตและว่าที่มนุษย์ทำงานคนใหม่ครับ มีเรื่องใหม่ๆ รอให้น้องเรียนรู้อีกมากมาย เก็บความตื่นเต้นนี้ไว้นะครับ เพราะพอโตไป ทำงานไปเรื่อยๆ บางทีน้องอาจจะไปเจอช่วงเวลาที่ความตื่นเต้นมันมอดไปกลายเป็นความซังกะตาย อย่าปล่อยให้ตัวเองไปถึงจุดนั้น แต่ถ้าบังเอิญเกิดความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ขอให้น้องอย่าปล่อยให้ตัวเองเฉาจนหมดความหมาย และขอให้รู้ว่าทุกปัญหาจะมีทางออก เอาน้องคนเดิมที่ตื่นเต้นกับชีวิตกลับคืนมา



สัปดาห์ก่อน พี่ได้รับเกียรติให้กล่าวสุนทรพจน์ในฐานะศิษย์เก่าดีเด่น คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พี่ร่างสุนทรพจน์ไว้และคิดว่าสิ่งที่พี่ได้พูดวันนั้นน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ ไม่ว่าน้องจะทำงานอยู่สายไหนก็ตาม พี่ขอเอามาแบ่งปันกับน้องๆ ครับ



ผมเกิดและเติบโตที่บ้านที่ชื่อคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ ออกจากบ้านนี้ไปหลายปี วันนี้ได้กลับบ้าน ผมมีเรื่องมากมายที่อยากจะเล่าให้ฟัง



นอกจากการเป็นนักเขียน มนุษย์ออฟฟิศ พีอาร์ และ Content Creator แล้ว อีกหนึ่งอาชีพที่ผมทำอยู่ งานที่ผมรัก และเป็นงานที่พาผมไปสู่บทเรียนใหม่ๆ เสมอก็คือการเป็นนักสัมภาษณ์



ผมเรียกอาชีพนักสัมภาษณ์ว่า นักทำให้คนตกหลุมรักใน 7 วินาที เพราะมีวิจัยเคยบอกว่า 7 วินาทีแรกที่เราเจอกันคือช่วงเวลาที่สำคัญ และภาพของเราจะถูกจดจำไปตลอดในฐานะนักสัมภาษณ์ ผมคือคนแปลกหน้าที่จะต้องไปคุยกับคนดัง และต้องทำให้เขารู้สึกไว้วางใจผม รู้สึกเชื่อมั่นในตัวผม รู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดเผยความรู้สึกกับผม นั่นแหละครับที่ทำให้ผมต้องทำให้เขาตกหลุมรักผมให้ได้ภายในเวลารวดเร็วที่สุด



หัวใจหลักของนักสัมภาษณ์คือ คำถาม แต่คำถามแบบไหนกันที่เป็นคำถามที่ควรถาม



ครั้งหนึ่งผมเคยได้ดูงานแถลงข่าวหนังเรื่อง The Avengers ซึ่งมี สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน เป็นนักแสดงนำหญิงคนเดียวท่ามกลางนักแสดงชายทั้งเรื่อง นักข่าวถามนักแสดงทีละคน และเมื่อถึงคำถามของ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน นักข่าวถามเธอว่า “คุณดูแลรูปร่างอย่างไรเพื่อให้ดูเซ็กซี่และใส่ชุดรัดรูปถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้” สการ์เล็ตต์ตอบกลับนักข่าวคนนั้นว่า “คุณถามคำถามที่ฉลาดกับเพื่อนนักแสดงชายของฉัน และถามฉันด้วยคำถามว่าฉันดูแลรูปร่างอย่างไร…อย่างนั้นน่ะหรือ”



ผมกลับมาดูบ้านเราและพบว่า เรามีดาราเก่งๆ อยู่มากมาย แต่ไม่ว่าเขาหรือเธอจะเก่งแค่ไหน เมื่อนักข่าวยื่นไมค์ไปถาม พวกเขาจะมีค่าเพียงแค่คำถามว่า เลิกกันหรือยัง ขาเตียงยังดีอยู่ไหม ตกลงดราม่าที่เขาเมาท์กันเป็นจริงหรือเปล่า ตกลงใครแย่งใคร ดาราคนนั้นเขาพาดพิงว่าอย่างนี้ ดาราคนนี้ว่าอย่างไร บนพื้นที่สื่อนั้น ความสามารถของพวกเธอไม่มีความหมายเท่าการได้เป็นเมียใครสักคน และมันบอกว่าสื่อให้ความสำคัญกับเรื่องบนเตียงมากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่มนุษย์คนหนึ่งทำมาในชีวิต และเราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘การเป็นข่าว’



แต่ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามีอะไรมากกว่านั้น ทุกๆ คนมีเรื่องราวของตัวเอง และชีวิตของพวกเขาน่าจะเป็นบทเรียนให้กับคนอื่นๆ ได้ ผมเชื่อว่าพวกเขามีสิ่งนั้นอยู่ เพียงแต่ยังไม่มีใครเคยถามเขา ไม่มีใครเคยให้ความหมายเขามากไปกว่าเรื่องผู้ชาย



ในฐานะนักสัมภาษณ์ ผมตั้งมั่นว่าผมจะถามคำถามที่เป็นประโยชน์กับคนอ่าน ผมจะถามคำถามที่ให้แรงบันดาลใจกับคนดู ผมจะถามคำถามที่สะท้อนถึงการตกผลึกทางความคิดของคนตอบ และคำตอบนั้นจะเป็นประโยชน์ในการเติบโตของทั้งคนถาม คนตอบ และคนอ่าน และนี่คือสิ่งที่ผมถามและคำตอบที่ผมได้รับ



ผมถาม ปอย ตรีชฎา ว่า คุณคิดอย่างไรกับการที่วงการบันเทิงให้บทบาทกับสาวประเภทสองเป็นเพียงคนตลก บ้าผู้ชาย ตายตอนจบเพราะไม่มีใครรักจริง ปอยตอบว่า จะให้ปอยทำอะไรก็ได้ แต่ปอยจะไม่ยอมทำซ้ำ Stereotype ที่วงการบันเทิงพยายามตอกย้ำภาพลักษณ์ของสาวประเภทสอง และต่อให้มันจะทำให้ปอยไม่มีงาน ปอยก็จะยึดมั่นในการไม่ผลิตซ้ำชุดความคิดแบบ Stereotype นี้



ผมถาม พลอย เฌอมาลย์ ว่า คุณรู้สึกอย่างไรกับ 2 ปีที่หายไปอยู่เงียบๆ จากวงการบันเทิง 2 ปีที่ไม่ต้องโดนตัดสิน และพลอยบอกผมว่า ที่จริงแล้วพลอยเป็นโรคซึมเศร้า และวินาทีนั้น ผมวางบทบาทนักสัมภาษณ์ไว้ข้างๆ แล้วทำหน้าที่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่รับฟังเรื่องราวของเพื่อนมนุษย์อีกคน ฟังอย่างไม่มีการตัดสิน เพราะนาทีนั้น เธอเพียงต้องการคนรับฟัง ไม่ใช่คนที่ตัดสินเธอ และนั่นเป็นสัมภาษณ์ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พลอยยอมพูดเรื่องโรคซึมเศร้า และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าลุกขึ้นมาอีกครั้ง – อย่างที่พลอยทำ



ผมถาม พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ ว่า ในฐานะการเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ การมีชื่อเสียงจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร และพี่เบิร์ดบอกว่า การมีชื่อเสียงคือการอยู่ในที่โล่ง เราจะได้รับแดดอ่อนๆ ลมเย็นๆ ได้กลิ่นดอกไม้หอมมากกว่าคนอื่น แต่ก็ต้องเผชิญห่าฝนมากกว่าใคร เจอแดดเปรี้ยงมากกว่าใคร ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีความรักเป็นอาภรณ์ รักงานที่เราทำ รักคนดู รักคนที่ทำงานให้เรา และต้องรับผิดชอบ เหล่านี้แหละคือปาร์เกต์ที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ



ผมถาม ทาทา ยัง ว่า ในฐานะคนที่สูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว คุณมีอะไรอยากจะบอกคนที่ยังมีพ่อแม่อยู่ และเธอบอกว่า ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุดในเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ จะได้ไม่ต้องมาเสียดายในเวลาที่ท่านจากไปแล้ว ผมบอก ทาทา ยัง ว่า ชีวิตคุณช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน และเธอบอกผมว่า ชีวิตทุกคนมีความมหัศจรรย์หมด อยู่ที่เราจะมองเห็นความมหัศจรรย์นั้นไหม ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตเรามีความมหัศจรรย์ เราก็ทำให้มันมหัศจรรย์ซะสิ



ทุกครั้งที่ผมได้ไปสัมภาษณ์ด้วยคำถามแบบนี้ ผมพบว่าไม่เพียงผมได้รู้จักคนตอบมากขึ้น แต่ทุกคำถามทำให้คนตอบได้กลับมาสำรวจชีวิตตัวเอง เขาได้มีบทสนทนาภายในตัวเองและตกผลึกความคิด ผมได้เรียนรู้จากเขา และเขาเองก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นจากการตั้งคำถาม ที่สำคัญและผมคิดอยู่เสมอคือ คนอ่านจะต้องได้ประโยชน์จากคำถาม ผมทำการสัมภาษณ์เพื่อให้ทั้งคนถาม คนตอบ และคนอ่าน ได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งมันเริ่มต้นจากคำถามที่ดีนี่แหละครับ



ดาราทุกคนที่ผมไปสัมภาษณ์บอกกับผมว่า เขาดีใจที่ในที่สุดก็มีคนมาถามเรื่องแบบนี้กับเขาที่มากไปกว่าเรื่องผู้ชาย และเมื่อเราให้ความหมายกับเขาก่อน เขาก็จะให้ความหมายกับเรา



แต่ต่อให้เราไม่ได้เป็นสื่อ ไม่ได้เป็นนักสัมภาษณ์ ผมคิดว่าชีวิตของเราก็ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองและค้นหาคำตอบอยู่เสมอ เพราะกระบวนการค้นหาคำตอบจะทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และทำให้เรามีความหมาย



คำถามสุดท้ายที่ผมมักจะถามทุกคนในทุกการสัมภาษณ์ก็คือ ผมขอให้เขาเล่า 3 บทเรียนที่มีค่าที่สุดที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิต และคิดว่านี่จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น



ผมคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญมาก เพราะมันพาให้คนตอบสำรวจชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของตัวเอง และเลือกส่งต่อบทเรียนที่มีค่าที่สุดให้กับคนอื่น ที่สุดแล้ว การใช้ชีวิตของเรานั้นก็เพื่อให้เราได้เรียนรู้ และส่งมอบการเรียนรู้นี้ให้กับคนอื่นๆ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น เรากำลังสร้างคนรุ่นใหม่ๆ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าในสมัยของเรา และถ้าจะมีใครมีชีวิตที่ดีขึ้นจากบทเรียนในชีวิตของเรา ผมคิดว่านั่นแหละคือความหมายของการมีชีวิตอยู่



จบจากวันนี้ไปแล้ว ผมอยากฝากให้คำถามนี้ดังอยู่ในใจพวกเราทุกคนอยู่ตลอด คิดใคร่ครวญและตอบคำถามนี้ให้ได้ว่า ‘เราเกิดมาเพื่ออะไร’ และใช้ชีวิตที่เรามีอยู่ทำสิ่งนั้น มอบบทเรียนที่มีค่าที่สุดที่ได้จากการใช้ชีวิตให้เป็นบทเรียนกับคนอื่นๆ เพราะวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราคือวันที่เราเกิดมา และวันที่เรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร



คำถามที่ผมอยากถามทุกคนและหวังว่าวันหนึ่งทุกท่านจะได้พบคำตอบ และส่งต่อบทเรียนที่ได้จากคำตอบนั้นกับคนอื่นๆ ก็คือคำถามว่า ‘เราเกิดมาเพื่ออะไร’



4507610105 ชญาน์ทัต วงศ์มณี ผมเกิดมาเพื่อเป็นสื่อที่ดี และใช้การเป็นสื่อทำให้ชีวิตของคนอื่นดีขึ้น



ขอบพระคุณทุกท่านครับ

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising