Q: หนูเพิ่งเรียนจบค่ะ สมัครงานไปเป็นสิบที่ก็ไม่ค่อยมีใครเรียกไปสัมภาษณ์เลย บางทีก็โทรมาเหมือนจะเรียกสัมภาษณ์แต่ก็เงียบไป เป็นไปได้ไหมคะว่าเป็นเพราะหนูยังไม่มีประสบการณ์มาก่อน เคว้งมากค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ
A: สวัสดีมือใหม่หัดสัมภาษณ์งานครับ เข้าใจได้ครับว่าตอนนี้คงใจแป้วเพราะส่งเรซูเมไปหลายที่ แต่ยังไม่มีใครเรียกสักที แต่บทเรียนแรกที่น้องควรจะได้ก็คือ ชีวิตมันไม่ง่าย เราต้องเจอความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ถือว่าตอนนี้น้องกำลังลงทะเบียนเรียนวิชารับมือกับความผิดหวังก่อน เดี๋ยววิชารับมือกับความสมหวังและอีกหลายวิชายังมีให้น้องได้เรียนอีกครับ เริ่มต้นด้วยความผิดหวังแบบนี้ก็ดีครับ ได้รู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ตอนได้มาจะได้รู้สึกว่ามีคุณค่า
ตอนที่พี่ลงสนามการสมัครงานครั้งแรก พี่ก็ส่งไปหลายที่ครับ ไม่ใช่ว่าทุกที่จะติดต่อพี่กลับมา พี่คิดว่าทุกคนก็คงมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน เปรียบเทียบเล่นๆ นะครับ ก็เหมือนเวลาเราปัด Tinder ใช่ว่าเราจะปัดขวาทีเดียวแล้วเจอเนื้อคู่เลยใช่ไหมล่ะครับ เราก็ต้องปัดต่อไป ฮ่าๆ
ถ้าจะมองว่าการที่ยังไม่มีใครเรียกเป็นข่าวร้ายมันก็จะเป็นข่าวร้ายครับ แต่ถ้ามองว่ามันเป็นข่าวดีมันก็จะดี เพราะแปลว่าน้องยังมีเวลากลับมาแก้ไขตั้งหลักปรับเรซูเมและพอร์ตโฟลิโอได้ เราต้องมาวิเคราะห์ว่าเรซูเมกับพอร์ตโฟลิโอเก่าของเรายังไม่โดนใจบริษัทไหน ก็เหมือนเวลาเล่น Tinder เช่นกัน กลับมาดูว่ารูปที่เราลงไปเป็นอย่างไร เราเขียนบรรยายตัวเองว่าอะไร มันสะท้อนว่าเราเป็นคนแบบไหน พอเราทำโปรไฟล์ได้ดี ก็มีโอกาสที่เราจะโดนใจใครสักคนอยู่แล้วครับ
พอเปรียบเทียบกับ Tinder แล้วมันเห็นภาพดีเนอะ ฮ่าๆ
เรื่องแรก ต่อให้เราส่งไปหลายบริษัท แต่เราต้องทำเรซูเมและพอร์ตโฟลิโอให้เฉพาะเจาะจงบริษัทนั้นๆ เลย เหมือนตัดเสื้อใส่ให้ใครคนหนึ่งคนเดียว อย่าทำเรซูเมและพอร์ตโฟลิโอแบบทำรอบเดียวแล้วเปลี่ยนชื่อบริษัทกับตำแหน่งเอา ไม่ได้เป็นอันขาด ลองศึกษาว่าบริษัทที่สมัครเขาทำสินค้าและบริการเกี่ยวกับอะไร เราคัดผลงานของเราให้ตรงแบบที่บริษัทนั้นต้องการโดยเฉพาะ
อย่าเอาแค่ผลงานที่เราเคยทำมาตอนเป็นนักศึกษา ถ้าจะให้เจ๋ง ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ใช่ไหมครับ สร้างขึ้นมาใหม่เลยครับ เอาให้ตรงกับบริษัทที่เราสมัคร ให้ถือว่าเราได้ฝึกตัวเองมากขึ้นไปด้วย พอร์ตโฟลิโอเราก็มีมากขึ้นเพราะผลงานเยอะขึ้น
เวลาบริษัทเลือกคน เขาคงอยากได้คนที่ทำให้เห็นว่าอยากทำงานที่บริษัทนี้จริงๆ การที่เราทำพอร์ตโฟลิโอขึ้นมาแบบที่มีผลงานใกล้เคียงกับงานแบบที่เขามองหาอยู่เลยมันยิ่งทำให้เขามองเห็นว่าถ้าเราทำงานจริงที่บริษัทนั้นเราจะทำอะไรได้บ้าง ยิ่งเยอะเท่าไรยิ่งดี
เหมือนเวลาใครมาจีบเราแล้วเขาทำการบ้านมาว่าเราชอบอะไร เราเห็นเขาเตรียมตัวมาเพื่อเรา เราก็คงปลื้มเขาใช่ไหมล่ะครับ การหาคนมาทำงานก็เหมือนกันครับ ถ้าดูแล้วเจอผู้สมัครคนไหนตั้งใจสมัครจริงๆ อยากทำงานกับบริษัทจริงๆ ก็เป็นไปได้ครับว่าจะได้เข้ารอบต่อไป อย่าพึ่งพาผลงานตอนเป็นนักศึกษาอย่างเดียว สร้างขึ้นมาใหม่ ถือว่าเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเองไปด้วยในตัว เพราะฉะนั้นจะบอกว่าไม่มีประสบการณ์ไม่ได้แล้วล่ะครับ
ชีวิตเราถ้าเรามองออกว่าขาดเรื่องไหนอยู่ วิธีการแก้ปัญหาคือไปเพิ่มสิ่งนั้น เช่น ถ้ารู้สึกว่าเราไม่มีประสบการณ์ วิธีการแก้ปัญหาก็คือไปเพิ่มประสบการณ์ สร้างประสบการณ์ขึ้นมาเองเลย อย่ารอให้ใครมาให้โอกาสเรา ให้เราเดินไปหาโอกาส เพราะฉะนั้น ปรับเรซูเมและพอร์ตโฟลิโอของเราให้เหมาะกับแต่ละบริษัท และไปเพิ่มผลงานให้ตัวเอง
เรื่องต่อมาก็คือ สร้างความพิเศษให้ตัวเอง นอกจากมีความรู้จากมหาวิทยาลัยแล้ว ไปติดอาวุธเพิ่มที่อื่นด้วย ไม่ต้องห่วงว่าเราเรียนตรงสายกับงานที่สมัครหรือไม่ เพราะในโลกการทำงาน ภูมิหลังที่แตกต่างทำให้เรามีมุมมองหรือวิธีการทำงานที่เป็นประโยชน์กับงานได้เหมือนกัน ยิ่งมีแบ็กกราวด์หลากหลายยิ่งดี ตรงกันข้าม ถ้าเราจบตรงสายแต่เราไม่รู้เรื่องอื่นเลย เราจะเป็นแค่มนุษย์เบสิกที่ไม่น่าสนใจ เพราะใครๆ ก็เป็น แต่ถ้าเราเพิ่มทักษะอื่นๆ ไปด้วยที่ทำให้ความรู้และประสบการณ์เรากว้างขึ้น นั่นแหละครับที่ทำให้เราพิเศษมากขึ้น
เช่น อยากสมัครงานการตลาด แต่มีความรู้การตลาดอย่างเดียวเราก็จะเป็นมนุษย์เบสิก เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่จบมา แต่ถ้านอกจากความรู้การตลาดแล้ว เรามีความรู้ด้านอื่นๆ ด้วย เช่น เราตัดต่อวิดีโอก็เป็น เราเขียนก็ได้ เราพูดก็เก่ง ภาษาเราก็ได้ ถ่ายรูปก็ทำได้ วิ่งมาราธอนก็ทำ ทำอาหารก็ได้ ฯลฯ ทำได้ยิ่งเยอะยิ่งดี บางอย่างเราอาจจะรู้สึกว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่เชื่อเถอะว่าทุกประสบการณ์มีความหมายหมดและมันอาจจะเป็นความรู้ที่มาช่วยเราได้ต่อก็ได้
ลองไปเรียนวิชาอื่นๆ เพิ่ม คอร์สออนไลน์สอนฟรีมีเยอะ ใน YouTube มีความรู้เยอะแยะมากมาย หรือจะให้ดี ไปขอฝึกงานก็ได้ครับ มันช่วยให้เรามีความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น เผลอๆ จะทำให้เรามีโอกาสเข้าใกล้งานมากขึ้นด้วย
ทักษะที่เราต้องมีเพื่อการเติบโตในชีวิตได้ไกลก็คือ การมีความสามารถในการเรียนรู้มากขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้เราต้องมีติดตัวไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่หรือคนทำงานเกษียณไปแล้วก็ตาม ถ้าเราสนุกกับการหาความรู้ กระหายที่อยากจะเก่งขึ้น คอยเติมตัวเองให้มีคุณค่าอยู่ตลอด นั่นแหละครับที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์
ตอนนี้ยังไม่มีบริษัทไหนเรียกก็ใช้เป็นโอกาสในการลับมีดได้ต่อ อย่าเพิ่งท้อใจครับ
ลับมีดของเราให้คมตลอดเวลา ฝึกซ้อมอยู่เสมอ ฝึกใจให้สู้ เมื่อโอกาสมาถึง เราก็จะพร้อมลงสู้ได้ทันที
โอกาสเป็นของคนที่พร้อมและสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่ของคนที่รอโอกาสแล้วค่อยไปทำตัวให้พร้อมครับ
วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ใช้แค่ตอนสมัครงานนะครับ แต่ใช้ตลอดชีวิต
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์