×
SCB Omnibus Fund 2024

เนสท์เล่ ประเทศไทย ย้ำ ‘การปรับราคาจะเป็นทางออกสุดท้าย’ แม้บริษัทแม่ในสวิสเตรียมขยับขึ้น หลังแบกรับต้นทุนผลิตพุ่งจนฉุดกำไร

09.03.2023
  • LOADING...
เนสท์เล่ ประเทศไทย

ในขณะที่บริษัทแม่ของเนสท์เล่เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้า หลังจากที่ต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจนฉุดให้ผลกำไรของบริษัทลดลง แต่ในประเทศไทยได้ยืนยันถึงทิศทางที่จะยังไม่ขึ้นราคาในตอนนี้ และจะใช้มาตรการดังกล่าวเป็นทางเลือกสุดท้าย

 

ปี 2565 เนสท์เล่ยอมรับว่า ต้นทุนสินค้าในประเทศไทยขึ้นราว 8% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของสินค้าทุกกลุ่ม แต่หากดูเป็นสินค้าแต่ละตัว บางสินค้ามีต้นทุนขึ้นสูงมากกว่านั้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

“เนสท์เล่ไม่เคยประกาศว่าจะไม่ขึ้นราคา แต่เราตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่น่าหนักใจที่ผู้บริโภคชาวไทยต้องเผชิญในเวลานี้ เนสท์เล่จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยหันไปมองเรื่องการประหยัดต้นทุนที่เป็นไปได้ตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของเรา ก่อนที่จะพิจารณาการปรับราคาเป็นทางออกสุดท้าย” วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าว

 

คำยืนยันของผู้บริหารของเนสท์เล่ ประเทศไทย เกิดขึ้นหลังกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทแม่ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เผยถึงความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยกับความเสียหายที่เกิดจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงราคาพลังงาน หนึ่งในต้นทุนการผลิตที่สำคัญปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 

 

เนสท์เล่ ประเทศไทย จะยังไม่ปรับขึ้นราคา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถตรึงราคาสินค้าไปได้ถึงเมื่อไร ท่ามกลางต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด โดยก่อนหน้านี้ สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย ฉายภาพกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สินค้าอุปโภคบริโภคหลายๆ กลุ่ม ได้ส่งหนังสือขอปรับราคาขายส่งและขายปลีกมาตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งปัจจัยหลักมาจากต้นทุนต่างๆ ทั้งระบบซัพพลายเชน พลังงานต่างๆ ที่ปรับตัวขึ้น

 

ทั้งนี้ ยังมีบางรายที่ยังไม่ขึ้นราคาเพราะต้องรองรับกับการแข่งขันที่สูง แต่เมื่อถึงเวลาอาจเริ่มแบกรับต้นทุนไม่ไหว พร้อมกับเริ่มผลิตสินค้าล็อตใหม่ ทำให้เห็นสินค้าบางรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

ในปี 2565 เนสท์เล่มีการเติบโตอยู่ที่ 3.5-4% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งปี 2566 วิคเตอร์ก็คาดหวังว่าจะมีการเติบโตในระดับที่ใกล้กัน

 

เนสท์เล่ได้เปิดเผยถึงเม็ดเงินที่จะลงทุนรวมในปี 2566 จำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงาน จำนวนประมาณ 6.5 พันล้านบาท และลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด จำนวนประมาณ 3.5 พันล้านบาท

 

“ที่เราตัดสินใจลงทุนเยอะ เพราะเชื่อว่าสินค้าต้องผลิตในประเทศไทย แม้จะเป็นบริษัทระดับโลกแต่ต้องปรับการดำเนินงานให้เข้ากับไทย และปรับให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทย”

 

สิ่งที่น่าจับตาคือ การลงทุนในสายการผลิตของหน่วยธุรกิจเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ (Purina Pet Care) จำนวน 500 ล้านฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี และในปีนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นถึง 50%

 

แม่ทัพเนสท์เล่ยอมรับว่า ความท้าทายในปี 2566 อยู่ที่เรื่องวัตถุดิบ ทำให้ต้องมีการปรับพอร์ตโฟลิโอ ตลอดจนการบริหารภายใน ตั้งแต่การหาวัตถุดิบ การขนส่ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ที่มีข่าวว่าเนสท์เล่จะปิดโรงงานในเมียนมาที่มีเพียงแห่งเดียวและจะถอดธุรกิจออก เรื่องนี้วิคเตอร์กล่าวว่า ทิศทางของธุรกิจในเมียนมาจะเปลี่ยนจากการดำเนินธุรกิจเองไปผ่านดิสทริบิวเตอร์ ซึ่ง “เราเชื่อว่านี่จะเป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างยั่งยืนต่อไป”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising