ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น Wall Street ของสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ (18 มีนาคม) ปิดปรับตัวในแดนลบ อันเป็นผลจากการที่นักลงทุนแห่เทขาย เพราะมีการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ของสหรัฐฯ บวกกับความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในยุโรป
ทั้งนี้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 0.46% ปิดที่ 32,286.30 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.48% ปิดที่ 3,915.46 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลงหนักสุด 3.02% ปิดที่ 13,116.17 จุด
ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งผ่านระดับ 1.75% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 เดือน หลัง Fed คาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่งสุดในรอบเกือบ 40 ปี เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 เบาบางลง นอกจากนี้แล้ว Fed ยังสัญญาคงอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายไว้ที่ระดับใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ในอีกหลายปีข้างหน้า ส่งผลให้นักลงทุนแห่เทขายหุ้น
ขณะเดียวกันแรงเทขายในตลาดทุนสหรัฐฯ ยังทวีความรุนแรงขึ้น หลังนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสกำหนดล็อกดาวน์ 1 เดือนในกรุงปารีส และแคว้นอื่นๆ อีกหลายแห่ง สืบเนื่องจากวิกฤตด้านสาธารณสุข บรรดาชาติเศรษฐกิจใหญ่ๆ ของยุโรปหลายแห่งจำเป็นต้องกลับมาล็อกดาวน์ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่โครงการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นไปอย่างล่าช้า สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน AstraZeneca ที่ถูกแจกจ่ายอย่างกว้างขวางในยุโรป
ในส่วนของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศบรรลุเป้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 100 ล้านโดสให้แก่ชาวอเมริกันภายในเวลา 100 วันแรกของการรับตำแหน่งของตนในวันนี้ ซึ่งเป็นความสำเร็จที่บรรลุได้ก่อนกำหนด หรือภายในเวลา 57 วัน และสหรัฐฯ จะเดินหน้าเร่งการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน โดยมีการฉีดเฉลี่ย 2-3 ล้านคนต่อวัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
