บทสนทนาที่สนุกต้องเริ่มจากความสนใจของผู้เข้าร่วมสนทนา ช่วงเช้าวันหนึ่งในต้นเดือนมีนาคม ทีมงานของ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสนั่งคุยกับ โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ อย่างสนุกสนาน เกี่ยวกับความชอบและความสนใจที่หล่อหลอมเขาให้กลายมาเป็นโอบ เจ้าของซิงเกิลเดบิวต์ ต่อให้เธออยู่ไกล (Moon to Mars)
โดยบทสนทนานี้จะพาผู้อ่านทุกท่านขึ้นยานอวกาศแล้วออกสำรวจเส้นทางระหว่างดวงจันทร์กับดาวอังคารไปพร้อมกับโอบ เพื่อทำความเข้าใจตัวตนของเขาให้มากขึ้น ไล่เรียงตั้งแต่ความชอบในวัยเด็ก สิ่งที่โอบสนใจอย่างกีฬาฟุตบอลและการท่องเที่ยว ไปจนถึงเรื่องราวของคนพิเศษอย่าง มะปราง ที่มักจะสอดแทรกเข้ามาระหว่างการพูดคุยอยู่เสมอ
ไมล์ที่ 1: ความสนใจและแพสชันของโอบนิธิ
โอบ: ถ้าถามว่าตอนเด็กๆ เคยอยากทำอาชีพอะไร มีหลายอย่างมากเลยนะ เป็นคนชอบดูโทรทัศน์ก็เลยอยากจะเป็นนักบิน ตำรวจ เป็นนู่นนี่นั่นที่อยู่ในโทรทัศน์เกือบทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าทำอะไรเป็นจริงเป็นจังอยู่ในตอนนั้นก็คือเล่นกีฬา ผมเป็นคนมีทักษะในการเล่นกีฬาเกือบทุกชนิดเลย ซึ่งกีฬาที่เอาดีได้ก็คือเทนนิส ก็คือเป็นคนมีตำแหน่งแต่ยังไม่มีตำนาน (หัวเราะ)
THE STANDARD POP: แล้วตอนเราได้ตำแหน่ง เรารู้สึกอย่างไรบ้าง?
โอบ: งงๆ คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเราได้มาเพราะฝีมือเราหรือเพราะเงินที่เราลงไปแข่ง คือถ้าเราลงแข่งเยอะแรงกิ้งมันก็จะดี ซึ่งตัวผมน่าจะเป็นเรื่องของฝีมือบวกกับการแข่งบ่อยด้วย
THE STANDARD POP: แล้วทำไมโอบถึงเลือกที่จะจริงจังกับเทนนิสแทนที่จะเป็นกีฬาอื่นๆ
โอบ: ตอนนั้นพี่บอล ภราดร กำลังดังช่วงนั้น คือเขาติดอันดับเลยนะ ต้นๆ ของโลกเลย ซึ่งก็ทำให้กีฬาเทนนิสบูมมาก เด็กเห็นเขาเป็นไอดอลเยอะมาก คนมาตีเทนนิสเพราะพี่บอลกันเต็มไปหมด ส่วนเราที่เล่นฟุตบอลอยู่ในตอนนั้นก็รู้สึกว่ากีฬานี้มันเอาต์แล้ว เลยลองไปเทนนิสดู แต่ปรากฏว่าเจอคนเยอะกว่าเดิมอีก (หัวเราะ)
ไมล์ที่ 100: จุดเริ่มต้นของการเป็นแฟนบอลสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โอบ: ผมจำไม่ได้หรอกนะว่าเริ่มเชียร์แมนยูตั้งแต่เมื่อไร แต่จำได้ว่าตอนเด็กๆ ป๊าพาไปเดินสะพานพุทธแล้วก็ซื้อเสื้อแมนยูเบอร์ 7 ซึ่งเป็นเบอร์ของเบ็คแฮมให้เรา เรายังจำเสื้อตัวนั้นได้เลยว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร หลังจากนั้นมาเราก็เชียร์ทีมนี้มาตลอด คงเป็นเพราะเราคลุกคลีกับทีมนี้มาตั้งแต่เด็ก ตอนหัดดูในทีวีก็เชียร์ทีมนี้ พอจะเล่นเกมก็ยังเล่นเป็นทีมนี้อีก
THE STANDARD POP: โอบคิดว่าเสน่ห์ของการเชียร์ฟุตบอลคืออะไร
โอบ: โอบว่ามันเป็นไวบ์มากกว่า โอบรู้สึกว่าแต่ละครั้งที่คะแนนออกมามันจะมีทีมฝั่งตรงข้ามที่คอยเป็นกองแช่งเราอยู่ อย่างแมตช์ล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (แมตช์ที่ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 7-0) เราโดนแซวเต็มหน้าเฟซบุ๊กเลย ผมว่ามันก็มีความสนุกและมีสีสันตรงนั้น แต่ไม่ต้องจริงจังกับมันมาก วันที่เราชนะเขา เราก็แซวเขาได้ วันที่เขาชนะเรา เขาก็มาแซวเรา
ตั้งแต่เป็นแฟนบอลมา อย่างหนึ่งที่ไม่เคยทำคือยังไม่มีโอกาสไปเชียร์พรีเมียร์ลีกที่สนามจริงๆ เลย แค่มีโอกาสไปทัวร์สนาม ได้ไปลงเตะในสนามเขามาแล้ว นี่ไม่ได้ขิงนะ (หัวเราะ)
THE STANDARD POP: ช่วยเล่าความรู้สึกตอนไปเหยียบสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดให้ฟังหน่อย
โอบ: มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลย ปกติเวลาไปทัวร์เราจะได้เดินแค่ขอบสนาม เราจะไม่สามารถเข้าไปเหยียบในสนามเขาได้ แต่วันนี้เราสามารถเอาบอลไปตั้งบนสนามแล้วยิงไปไหนก็ได้ ตอนได้เหยียบสนามครั้งแรกเรารู้สึกขนลุก น้ำตาจะไหล นี่คือทีมที่เราชื่นชอบมาก และรู้สึกว่ามันคงเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ลงไปเตะในสนามนี้ นี่คือประสบการณ์แรกที่เงินซื้อไม่ได้
โอบฟินมากๆ โม้ได้เลยว่าโอบได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของเขาทุกอย่าง ได้อาบน้ำและใช้ห้องแต่งตัวเดียวกับ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งเคยเป็นนักเตะแมนยูที่เราชอบมากๆ แต่พอเขาลาจากสโมสรนี้ไปแล้ว ตอนนี้ก็ฝากความหวังไว้กับนักเตะดาวรุ่งไฟแรงชื่อว่า อเลฮานโดร การ์นาโช ครับ
ไมล์ที่ 1,000: โอบนิธิกับการเดินทางที่ไอซ์แลนด์
โอบ: จากหลายๆ สถานที่ที่เคยไปเที่ยวมา ผมชอบไอซ์แลนด์นะ ทริปนี้ของโอบมันตั้งต้นมาจากการอยากไปดูแสงเหนือ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนที่ไปจะได้เห็นแสงเหนือ บางคนไป 7 วันไม่เจอเลยก็มี แต่สิ่งที่โอบประทับใจก็คือ เวลาเราขับรถไปเราจะเจอภูมิภาคที่มันหลากหลาย ระหว่างขับรถอาจจะเจอหญ้าเขียวๆ ขับไปสักพักอาจจะเจอหิมะเกาะเต็มไปหมดแล้วก็ได้ มันได้เจอสถานที่อะไรแปลกๆ เยอะแยะมากมาย
THE STANDARD POP: แล้วสุดท้ายเราได้เจอแสงเหนือไหม?
โอบ: เจอนะ แต่ก็เฟลนิดหนึ่ง เพราะแสงเหนือที่ตาเราเห็นมันไม่ได้เหมือนกับภาพถ่าย คือเวลาถ่ายภาพตากล้องเขาจะใช้ชัตเตอร์สปีดที่ต่ำจนได้ภาพอย่างที่เราเคยเห็นกัน แต่แสงเหนือของจริงถ้ามันไม่แรงมาก มันจะไม่ได้เห็นเป็นสีเขียว สีม่วง แต่จะเห็นเป็นสีเทา เป็นเส้นเทาๆ ที่เต้นไปเต้นมา ซึ่งตัวโอบเคยเห็นด้วยตาเปล่าคือแค่ระดับความแรงที่เป็นสีชมพู โดยรวมก็รู้สึกว่ามันสวยนะ แต่แค่ไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้
ไมล์ที่ 10,000: มะปราง ผู้ร่วมทางแสนพิเศษ
โอบ: ทริปไอซ์แลนด์เป็นทริปแรกที่เราได้ไปเที่ยวกับมะปรางด้วย ซึ่งตอนนั้นเพิ่งคบกันใหม่ๆ เลย เราก็ไม่รู้ว่าการที่ตัดสินใจไปเที่ยวกับเขามันเร็วไปไหม ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร มันจะเข้ากันได้ไหม เพราะการไปเที่ยวด้วยกันมันคือการได้ไปใช้ชีวิตกับเขาแบบจริงๆ ได้เห็นว่าไลฟ์สไตล์มันถูกต้อง มันถูกจริตไหม แล้วเรายังจะมีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันอีกในอนาคตหรือเปล่า ซึ่งมันค่อนข้างเสี่ยงมากเลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นทริปที่สนุก โอบเองก็ได้ไปเจออะไรใหม่ๆ พร้อมกับเขา
THE STANDARD POP: ระหว่างการเดินทางเราเห็นอะไรในตัวมะปรางมากขึ้นบ้าง
โอบ: มะปรางเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว เป็นคนชอบอะไรที่มันแอดเวนเจอร์ทุกอย่าง การได้ไปเที่ยวด้วยกันมันก็เลยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่ผ่อนคลายขึ้นของเขา มุมที่น่ารักขึ้นของเขา เห็นเขาได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้มันดูสบายหูสบายตาสำหรับเรา
เวลาไปเที่ยวเขาจะเป็นคนที่ดูแลจัดการทุกอย่าง ในขณะที่โอบก็จะเป็นฝ่ายใช้กำลัง ช่วยแบกกระเป๋าแบกของให้เขา แล้วก็จะเป็นอีนุงตุงนัง พากันไปที่นั่นที่นี่ ซึ่งมันก็แปลกๆ ดี แต่ตอนนี้เริ่มไม่ไหวแล้วนะ เพราะว่ากระเป๋าเขาเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว (หัวเราะ)
THE STANDARD POP: ในความสัมพันธ์นี้มะปรางพิเศษกับเราอย่างไร?
โอบ: มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไปด้วยกันได้ทุกที่ เป็นเพื่อนที่รู้ใจกันในทุกเรื่อง เขาก็จะรู้ว่าเราต้องการอะไร แล้วเราก็จะรู้ว่าเขาต้องการอะไรเหมือนกัน
THE STANDARD POP: โอบเป็นคนโรแมนติกไหม?
โอบ: ไม่เลย โอบเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางความรักเท่าไร แต่พอแสดงออกขึ้นมาครั้งหนึ่งคนก็จะอึ้งกัน (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้สึกรักเขานะ แต่เราคงถูกเลี้ยงมาหรืออยู่ในสังคมที่ทำให้เราไม่กล้าแสดงออกในความรักเท่ากับคนอื่น เช่น เราจะเขินนิดหนึ่งถ้าจะกอดเขาในที่สาธารณะ ซึ่งมะปรางไม่เป็นเลย ดังนั้นถ้าถามเรื่องความโรแมนติกอาจจะไม่ค่อยเท่าไร แต่เป็นคนชอบเซอร์ไพรส์นะ และเซอร์ไพรส์สำเร็จตลอดด้วย
THE STANDARD POP: มะปรางสนับสนุนโอบในด้านไหนบ้าง?
โอบ: จริงๆ ก็มีอยู่ตลอดนะครับ ในเวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยโอเคกับวันนี้เลย หรือไม่ค่อยโอเคกับเวิร์กช็อปนี้เลย เราก็จะปรึกษาเขานะ มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่เราไปเวิร์กช็อปมาแล้วรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเลย มะปรางก็ให้กำลังใจเรา คอยบอกเราว่าเราไม่ต้องไปคิดเยอะ พอไปถึงวันจริงมันมีอะไรหลายอย่างที่สามารถมาช่วยเราได้นะ มุมกล้องเอย การตัดต่อเอย ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดพอแล้ว
ไมล์ที่ 100,000: การแสดง บทคอเมดี้ และรางวัลนาฏราช
โอบ: ทุกเรื่องที่โอบทำงานมามันให้บทเรียนในรูปแบบที่แตกต่างกัน มันเป็นเหมือน Coming of Age ของเรา โอบจะดูผลงานของตัวเองทุกชิ้นเลย แล้วก็เอามานั่งวิเคราะห์ว่าวันนั้นที่เราทำมันเป็นอย่างไรนะ
เมื่อปีก่อน อนธการ ได้ไปฉายหนังกลางแปลงที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โอบไปนั่งดูแล้วก็คิดว่าตอนนั้นเราตีความตัวละครว่าอะไร ได้คุยกับพี่นุชชี่ผู้กำกับว่า เรื่องมันเป็นอย่างไร ตัวละครที่เล่นไปมันเป็นอย่างไรนะ เราชอบดูผลงานตัวเอง เพราะจะได้รู้ได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และอะไรที่ควรเอามาแก้ไข
THE STANDARD POP: มีบทบาทไหนที่เราชื่นชอบมากที่สุด
โอบ: โอบชอบบท น้องอัง ใน คลับสะพานฟาย 2 Class ซิฟาย มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากเลยนะ เพราะเราเคยพูดไปแล้วว่าอยากรับบทเป็นตุ๊ด ด้วยความที่คาแรกเตอร์นี้มันสามารถหยิบบุคลิกของคนรอบตัวมาใช้ได้ ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจนะ แต่พอลองทำไปมันออกมาดี
THE STANDARD POP: อยากให้เล่าเบื้องหลังการถ่ายทำซีนด่ากันในห้องสมุดของเรื่อง คลับสะพานฟาย 2 Class ซิฟาย ให้ฟังหน่อย
โอบ: เขาจะมีกล้องวางตั้งแล้วจ่อหน้าโอบเลย แล้วอัดที่เราพูดตามไดอะล็อกไปเรื่อยๆ เปลี่ยนคำพูด เปลี่ยน Expression ไป เริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยเล่นใหญ่ขึ้นไปจาก 1 ถึง 10 จากนั้นผู้กำกับเขาก็จะไปเลือกใช้เอา
ความยากคือคนจะต้องอ่านปากเราได้ ต้องทำปากให้คนเห็นเป็นคำนั้นๆ โดยไม่ต้องมีเสียง เพราะฉะนั้นรูปปากเราต้องชัดมากๆ แล้วมันขำหน้าตัวเอง ทุกคนคือชอบมาก ผู้กำกับก็ให้เล่นใหญ่ไปเรื่อยๆ คนตัดก็สนุก
THE STANDARD POP: มีบทบาทไหนที่อยากเล่นอีกไหม?
โอบ: โอบยังไม่เคยเล่นคอเมดี้แบบจริงจังเลย ตั้งแต่ได้เล่นเป็นอังก็รู้สึกว่ามันก็ผ่อนคลายชีวิตเราดี แม้ว่าคนจะยังติดภาพเราในพาร์ตจริงจังอยู่ก็ตาม
สำหรับโอบการเล่นคอเมดี้มันยากกว่าการเล่นดราม่าเยอะ โอบเคยถ่ายเรื่อง มาลี เพื่อนรัก..พลังพิสดาร แล้วตัวละครที่โอบเล่นมันไม่ตลกเลย ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาตลกรอบตัว ซึ่งมันทำให้รู้ว่าการจะเล่นอะไรให้ตลกมันต้องสังเกตคนว่าคนแต่ละคนเป็นอย่างไร แล้วเราจะเล่นอะไรกับเขาได้บ้าง นอกจากนั้นการจะเล่นคอเมดี้มันต้องมีเซนส์นิดหนึ่ง บวกกับความปล่อยใจฝัน ต้องไม่เครียดว่ามันจะไม่ตลก เพราะถ้าเครียดสุดท้ายมันก็จะออกมาตลกไม่ได้อยู่ดี
THE STANDARD POP: ย้อนกลับไปล่าสุดที่ได้รับรางวัลนาฏราช รางวัลนี้ช่วยขับเคลื่อนไฟในการทำงานของเราอย่างไรบ้าง?
โอบ: มันเติมไฟให้เราเหมือนกันนะ เพราะก่อนหน้านี้เราเคยไปเข้าร่วมงานนาฏราชปีที่ เลือดข้นคนจาง เขาเข้าชิงแล้วได้รางวัลกันเยอะมาก ตอนนั้นโอบแค่ไปเข้าร่วมในฐานะนักแสดง ซึ่งก็คิดแค่ว่าถ้าวันหนึ่งเรามีโอกาสได้เป็นผู้เข้าชิงรางวัลก็น่าจะดีใจมากๆ แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่าเราได้รางวัลเลย เราได้รางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม มันเกินกว่าสิ่งที่เราคิดไว้มากเลย วันนี้เราได้รางวัลสาขาแพลตฟอร์มออนไลน์มาแล้ว วันหน้าเราจะกลับไปอีกในสาขารายการโทรทัศน์
ไมล์ที่ 1,000,000: ต่อให้เธออยู่ไกล (Moon to Mars)
โอบ: จริงๆ เราเป็นคนมีแพสชันเรื่องเพลงอยู่แล้ว ก่อนหน้าจะเล่น Hormones เราเคยได้เข้าไปอัดเดโมด้วยนะ ซึ่งตอนนั้นเราเอาเพลง ดีอย่างไร ของพี่ที Jetset’er ไปร้องแล้วมันเสียงสูงมาก เราร้องไม่ได้ พอถึงท่อนฮุกก็เลยร้องเสียงต่ำทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นใช้เสียงสูงมาตลอด คือร้องแบบตามใจตัวเอง เหนื่อยก็ร้องแค่นี้ ขี้เกียจก็ร้องแค่นี้ (หัวเราะ) สุดท้ายพี่เขาเลยไล่ให้เราไปเรียนร้องเพลงมาใหม่แล้วค่อยกลับมา
ซึ่งตอนนั้นการเรียนร้องเพลงมันใช้เงินเยอะมาก แม่เราจะเอาเงินที่ไหนไปส่งเราเรียน ไม่มีหรอก การร้องเพลงสำหรับเราก็เลยกลายเป็นการครูพักลักจำมาเรื่อยๆ ฝึกฝนตัวเองมา จนมาถึงคอนเสิร์ตของ “STAR THEQUE” GTH 11 ปีแสงคอนเสิร์ต ทางค่ายก็ส่งเราไปเรียนร้องเพลงเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้เรารู้ว่าที่เราฝึกร้องมาทั้งชีวิตมันผิดหมดเลย (หัวเราะ) มันผิดแม้แต่การหายใจของเรา ตอนนั้นโอบหายใจเข้าแต่ท้องแฟบ ครูถึงกับงงเลย นั่นแปลว่าสิ่งที่เราร้องมามันคือการมั่ว
THE STANDARD POP: หลังจากได้เรียนร้องเพลงแล้ว เรารู้สึกเซอร์ไพรส์กับสกิลใหม่ของเราไหม?
โอบ: ตกใจมากว่าเราร้องได้เบอร์นี้เลยเหรอ แล้วทำไมตอนนั้นเราถึงขี้เกียจร้องนะ เราได้กลับไปลองร้องเพลง ดีอย่างไร อีกรอบด้วยนะ ซึ่งก็ทำได้นี่นา แต่อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้เทคนิคในการร้องต่างๆ
THE STANDARD POP: ช่วยเล่ากระบวนการในการทำซิงเกิล ต่อให้เธออยู่ไกล (Moon to Mars) ให้ฟังหน่อย
โอบ: โอบเริ่มต้นคุยกับพี่โฟร์ (ประทีป สิริอิสสระนันท์) ก่อนว่าอยากให้พี่โฟร์ช่วยทำ ซึ่งพี่โฟร์ก็ถามว่าเราอยากให้ใครเขียนเนื้อร้อง เราก็นึกไม่ออกว่าจะให้ใครทำดี ก็เลยไปปรึกษาพี่นต Getsunova ดู สุดท้ายพี่นตบอกว่าจะมาปรึกษาอย่างเดียวทำไม เดี๋ยวเขียนให้ ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นการเขียนแนว Pop R&B ครั้งแรกของพี่นตด้วย
พี่ๆ เขาตั้งต้นการทำงานว่าจะทำเพลงนี้ออกมาให้ตรงใจโอบมากที่สุด และเป็นเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เราสามารถ Brainstorm ร่วมกัน ช่วยกันออกความเห็น และปรับแก้งานนี้จนมันออกมาดีที่สุดได้โดยไม่ขัดขากัน
THE STANDARD POP: อะไรทำให้ต้องใช้เวลานับ 1 ปีในการทำเพลงนี้
โอบ: ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นโปรเจกต์ลูกเมียน้อยนิดหนึ่ง คือเราบอกว่าเราไม่ได้มีบัดเจ็ตเยอะเท่าคนอื่นเขานะ แล้วทุกคนมาช่วยด้วยใจมากๆ โอบก็จะบอกทุกคนว่าถ้ามีงานไหนที่ได้เงินเยอะกว่านี้ก็ไปทำก่อนได้เลยนะ เพลงนี้มันก็เลยใช้เวลาทำแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป พอใช้เวลานานเราเลยมีเวลาตบให้มันเข้าที่เข้าทาง และออกมาเป็นตัวตนของเรามากที่สุด
THE STANDARD POP: คอนเซปต์ของคำว่า Moon to Mars มาจากอะไร?
โอบ: มันเริ่มมาจากการที่เราชื่นชอบคำคำนี้แล้วอยากหยิบเอาคำนี้ไปใส่ในเพลง พี่โฟร์กับพี่นตก็บอกว่างั้นก็เล่นเรื่องระยะทางสิ เพราะคนที่มันคิดถึงกัน ต่อให้ระยะทางมันไกลกันเป็นพันล้านกิโลเมตรก็จะพยายามไปหาเขาให้ได้
ไมล์ที่ 122,700,000 ถึงอนันต์: ภาพในอนาคตที่โอบมองเอาไว้
THE STANDARD POP: พอจะมองภาพตัวเองในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง?
โอบ: โอบรู้สึกอยากทำให้ดีทั้งฝั่งของการแสดงและการเป็นศิลปินควบคู่กันไป มันมีหลายคนที่ไม่ค่อยยอมรับกับการที่นักแสดงจะมาเป็นนักร้อง เขาจะมองว่าเราจะมาเล่นๆ หรือเปล่า เราจะมาแค่เพลงเดียวแล้วไปหรือเปล่า ซึ่งบอกเลยว่าผมไม่ได้มาเล่นๆ ครับ ผมเอาจริง ถ้าผมไม่ได้ทำแปลว่าผมตังค์หมดครับ
เรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นจะต้องล้มเลิกการเป็นนักแสดงของเราไป เราสามารถบาลานซ์มันให้ไปด้วยกันได้ ช่วงที่ไม่ต้องถ่ายละครเราก็เอาเวลาตรงนั้นมาทำเพลงได้ เพราะในเมื่อเราสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมกันได้ ทำไมเราจะไม่ทำมันล่ะ
THE STANDARD POP: มีเพลงแบบไหนที่โอบอยากทำอีกไหม หรือมีเป้าหมายอะไรในสายงานเพลงอีกบ้าง
โอบ: เรื่องงานเพลงเราอยากค่อยๆ ทำไป ช่วงนี้ก็อาจจะเน้นเพลงที่ไม่เร็วมาก มีกรูฟพอให้โยกได้ ในอนาคตก็อยากลองทำเพลงอกหักหรือเพลงที่จังหวะเร็วขึ้นมาหน่อยดูบ้าง แต่อาจจะไม่ใช่เร็วๆ นี้ ส่วนเป้าหมายจริงๆ ของการเป็นนักร้องคือโอบอยากลองไปขึ้นเวทีงานเฟสติวัลดู เราเห็นมาบ่อยแล้วกับการไปดูศิลปินร้องเพลง แต่ในอนาคตเราอยากขึ้นไปบนเวทีแล้วมองลงมาเห็นคนร้องเพลงตามเรา ตอนนี้เราเสียเงินซื้อบัตรไปดูศิลปินแล้วร้องเพลงตามเขา แต่สักวันหนึ่งเราอยากจะเห็นหน้าตาของคนที่ตั้งใจซื้อบัตรมาดูเราบ้าง