จากออนไลน์สู่หน้าร้าน Montagne, l’art de la glace ร้านขนมฝรั่งเศสจาก เชฟปูน ภูผา เปิดหน้าร้านแล้วในย่านเจริญราษฎร์

Montagne เป็นร้านขนมหวาน-ไอศกรีมฝรั่งเศสโดย เชฟปูน-ภูผา ชุณหรัศมิ์ ศิษย์เก่าสถาบัน Le Cordon Bleu Dusit Thani และดีกรีเจ้าของแชมป์จากรายการ Sweet Chef Thailand คนแรกของประเทศไทย เริ่มต้นจากเป็นร้านขนมหวานออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยอัปเดตให้อ่านกันไปแล้ว ตอนที่เชฟปูนออกไลน์ขนมมัทฉะมาถึง 4 เมนู และได้เกริ่นๆ เรื่องเปิดหน้าร้านเอาไว้ด้วย

และล่าสุด Montagne, l’art de la glace เปิดให้บริการแบบ Dine-in เรียบร้อย มาพร้อมกับการเสิร์ฟ Plated Dessert ฉบับต้นตำรับฝรั่งเศส ม็อกเทล และไอศกรีมหลากหลายรสชาติมาให้เลือกลองกัน

สำหรับหน้าร้าน เชฟปูนมีความตั้งใจอยากให้มงตาล ออกมาเป็นร้านขนมหวานในรูปแบบกึ่งๆ Dessert Bar แต่เป็น Dessert Bar ที่มีไอศกรีมฝรั่งเศสขายควบคู่กันไปด้วย เข้าถึงผู้คนได้ง่ายทุกเพศทุกวัย ด้วยรสชาติของขนม ราคา ทำเลที่ตั้งอยู่ริมถนน หรือแม้กระทั่งบรรยากาศ และการตกแต่งภายในร้านที่จะต้องเป็นมิตร ทำให้การตกแต่งของร้านขนมหวานเล็กๆ แห่งนี้ ถูกออกแบบมาในแนวน่ารักกุ๊กกิ๊กที่ยังคงแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น

เมื่อเข้ามาในร้านจะเจอกับตู้ไอศกรีม และเคาน์เตอร์บาร์เฉดสีน้ำเงินโทนเย็นที่เป็นสีแบรนด์ของมงตาล ตัดกับสีของผนัง ดรอปฝ้าไม้ พื้นสีขาว และโซนโต๊ะที่นั่งที่มาในโทนสีดำ-เทา ท็อปหินอ่อนทั้งสองฝั่งของร้าน สร้างความรู้สึกเย็นสบายในสไตล์แบบ Icy ที่มีที่มาจากการผสมผสานความหมายของชื่อ ‘ภูผา’ ของเชฟปูน ร่วมกับชื่อของ เปีย-ดาลินล์ธารา พิสิทธิวิทยานนท์ หรือ ‘ธารา’ ที่แปลว่าธารน้ำนั่นเอง

มาถึงเมนูกันบ้าง เมื่อมาเยือนมงตาลถึงหน้าร้านแล้วก็ไม่ควรพลาดทั้งเมนูขนมหวานสไตล์ต้นตำรับ ที่เสิร์ฟในรูปแบบ Plated Dessert ที่เราแนะนำว่าควรโทรจองล่วงหน้าก่อนจะดีที่สุด ส่วนเมนูม็อกเทล หรือไอศกรีมฝรั่งเศสนั้นสามารถสั่งแบบ Walk-in ได้เลย

เราเริ่มต้นจานแรกด้วย Vacherin (ราคา 330 บาท) Plated Dessert สไตล์คลาสสิกของฝรั่งเศส ประกอบไปด้วยชั้นของวานิลลาไอศกรีมหอมหวานละมุน ตัดด้วยชั้นเปรี้ยวสดชื่นจากราสป์เบอร์รีซอร์เบต ท็อปด้วยแผ่นเมอแรงก์ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้กินได้ และราสป์เบอร์รีให้กิมมิกกรุบกรอบ สดชื่น และละลายในปาก

จานนี้ออกแบบมาให้กินคู่กับเครื่องดื่ม ที่จำลองวัฒนธรรมการแพริ่งไวน์กับขนมของฝรั่งเศส โดยปรับมาเป็นค็อกเทลเมนู Light Beaujolais (ราคา 140 บาท) ชาข้าวบาร์เลย์ที่มีส่วนผสมของกระเจี๊ยบ แครนเบอร์รี ไซรัปราสป์เบอร์รี โซดา ปิดท้ายด้วยแท่งอบเชยที่พ่นไฟให้มีกลิ่นหอมก่อนหย่อนลงในแก้ว แก้วนี้ให้รสชาติเปรี้ยวสดชื่น ที่ยังคงกลิ่นหอมคั่วอ่อนๆ ไว้ ถือเป็นเมนูจับคู่ที่สามารถช่วยตัดรสชาติให้กันได้อย่างดี

ต่อกันด้วยจานที่สองอย่าง Choux à la noisette (ราคา 270 บาท) เมนูที่หยิบเอาขนมคลาสสิกของฝรั่งเศสที่รู้จักดีอย่าง Paris-Brest มาปรับ และนำเสนอรสชาติใหม่ด้วยการจับมารวมกับไอศกรีมเฮเซลนัต จุดเด่นของทางร้านที่ให้รสชาติหวานหอม มาพร้อมถั่ว และครีมช็อกโกแลตเข้มข้น ประกบด้วยแป้งชู ตกแต่งด้วยทอง และก้านช็อกโกแลตปิดท้าย

ซิกเนเจอร์อีกแก้วเราเลือกเป็น Saint Tropez Time (ราคา 160 บาท) ม็อกเทลบอดี้ใสกิ๊งที่มีส่วนผสมของสับปะรด เสาวรส น้ำมะพร้าว และนมสด มาทำวิธีที่เรียกว่า ‘Clarified Milk Punch’ หรือการใช้นมผสมกับน้ำผลไม้ให้เกิดการแยกชั้น (Curd) และเมื่อกรองออกจะได้น้ำผลไม้ที่ใสกิ๊ง แต่ยังได้รสชาติครบรส ทั้งความเปรี้ยวอมเค็มจากเสาวรสและสับปะรด รวมไปถึงความหวานสดชื่นจากน้ำมะพร้าวและนมสดอีกด้วย

ลองไอศกรีมกันบ้าง เมนูแรกเราเลือก Special Creation อย่าง Mille Feuille (ราคา 160 บาท) อีกหนึ่งขนมคลาสสิกของฝรั่งเศสที่ทางเชฟปูนได้นำมาแยกองค์ประกอบ ก่อนจะนำมาปรับให้เข้ากับไอศกรีมวานิลลาของทางร้าน แล้วราดด้วยครีมวานิลลา ซอสคาราเมลรสชาติหวานละมุน ก่อนจะโปะด้วยพระเอกของถ้วยนี้ อย่างแป้ง Filo Pastry ที่มีกลิ่นหอม และสัมผัสกรุบกรอบตัดกับความนุ่มเข้มข้นของเนื้อไอศกรีมได้ดี

อีกเมนูชื่อว่า Caramel Popcorn (ราคา 160 บาท) นำด้วยไอศกรีม Caramel Croquant Parisien หรือไอศกรีมคาราเมลรสชาติเข้มข้น มาพร้อมกับท็อปปิ้งซอสคาราเมลอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมไหม้ โปะด้วยป๊อปคอร์นรสคาราเมลแบบแน่นๆ ให้ได้เคี้ยวกันแบบกรอบๆ มันๆ จุใจ หรือหากชอบไอศกรีมรสชาติเปรี้ยวก็ยังมี Tarte Yuzu (ราคา 160 บาท) ให้ได้ลองกันด้วยนะ

หรือใครเลือกไม่ถูกสามารถเดินมาที่ตู้ไอศกรีมเพื่อลองชิมไอศกรีมฝรั่งเศสรสอื่นๆ กว่า 20 รสชาติก่อนสั่ง หรือจะหิ้วกลับบ้านก็ได้เลย เพราะมีให้เลือกทั้งรสช็อกโกแลต (Cho-co-la) ไวต์คอฟฟี่ (Café Blanc) มัทฉะ (Vert Brillant) หรือไอศกรีมซอร์เบตเติมความสดชื่นอย่าง สตรอว์เบอร์รีกระเจี๊ยบแดง (Fraise Hibiscus) แครอตส้มขิง (Carotte Orange Gingembre) และโมฮิโต้ (Citron Menthe Basilic) ในราคาเริ่มต้นสกู๊ปละ 80 บาท

หรือจะเป็นไอศกรีมชา 4 รสชาติพิเศษก็ได้อย่าง Abricot Earl Grey / French Earl Grey / Voyage และ Riz Au Lait ที่ทางร้านเลือกใช้ชาฝรั่งเศสจาก Mariage Frères แบรนด์โปรดของเชฟปูนนับตั้งแต่ที่เขายังทำงานอยู่ในร้านไอศกรีมชื่อดังท็อป 5 ของปารีสอย่าง Une Glace à Paris ร่วมกับอาจารย์เชฟที่เป็น MOF (Meilleur Ouvrier de France) หรือเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอศกรีมอย่างแท้จริง

สำหรับเมนูขนมหวาน เครื่องดื่ม และไอศกรีมในตอนนี้ ยังเป็นเมนูในช่วง Soft Opening เท่านั้น โดยทางเชฟปูนและเปียแพลนที่จะสับเปลี่ยน และค่อยๆ เพิ่มเมนูหน้าร้านในอนาคต ซึ่งเมนูเหล่านั้นก็อาจจะเป็นทั้งเมนูจากวัตถุดิบตามฤดูกาล หรือเป็นไอเดียที่มาจากแรงบันดาลใจอื่นๆ ก็ได้ ติดตามจากเพจของร้านได้เลย