กระทรวงพาณิชย์ เผยเงินเฟ้อเดือนมีนาคมขยายตัว 2.83% ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน เตือนเงินสะพัดช่วงเทศกาลเลือกตั้งอาจดันเงินเฟ้อเดือนเมษายนพุ่ง แต่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีจาก 2.5% เหลือ 2.2%
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยเดือนมีนาคม 2566 เท่ากับ 107.76 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเท่ากับ 104.79 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 2.83% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 15 เดือน ทำให้อยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนดไว้
สาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และสินค้าอาหารที่ราคาชะลอตัวเกือบทุกกลุ่มสินค้า ทั้งไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักและผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน นอกจากนี้ ฐานราคาที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อในปี 2565 อยู่ระดับสูง มีส่วนทำให้เงินเฟ้อชะลอตัว สำหรับเฉลี่ยไตรมาสแรกของปี 2566 อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 3.88%
ทั้งนี้ เมื่อนำอัตราเงินเฟ้อของไทยไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ (ข้อมูลล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2566) พบว่า เงินเฟ้อไทยต่ำเป็นอันดับที่ 20 จาก 134 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าหลายเขตเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา, อิตาลี, สหราชอาณาจักร, เม็กซิโก, อินเดีย และเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศในอาเซียน ทั้ง สปป.ลาว, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และเวียดนาม
วิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการ สนค. เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 2.83% (YoY) ในเดือนนี้ เป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว ตามราคาสินค้าทั้งในหมวดอาหาร และหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร โดยในเดือนที่ผ่านมาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ปรับสูงขึ้น 5.22% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่สูงขึ้น 5.74%
สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ประกอบด้วย ผักและผลไม้ (มะนาว, กะหล่ำปลี, แตงกวา, แตงโม, ส้มเขียวหวาน และฝรั่ง) ตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดน้อย ไข่ไก่ เนื้อสุกร ไก่สด ราคาสูงขึ้นต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มชะลอตัว ข้าวสาร ตามโปรโมชัน ซีอิ๊ว น้ำพริกแกง กาแฟ/ชา (ร้อน/เย็น) และน้ำอัดลม เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ยังสูงกว่าเดือนมีนาคม 2565 ประกอบกับความต้องการมีอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อาหารสำเร็จรูป (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง อาหารเช้า) ปรับขึ้นเล็กน้อย สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง เช่น ผักคะน้า, ผักชี, ขึ้นฉ่าย, กล้วยหอม, ทุเรียน, น้ำมันพืช, มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) และมะขามเปียก
ด้านราคาสินค้าในหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 1.22% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่สูงขึ้น 2.47% โดยสินค้าที่ราคายังคงสูงขึ้นประกอบด้วย ค่าไฟฟ้า, ก๊าซหุงต้ม, ค่าโดยสารสาธารณะ (แท็กซี่ เรือ รถเมล์เล็ก/สองแถว เครื่องบิน), น้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภท (น้ำมันดีเซล ก๊าซยานพาหนะ (LPG)), ค่าการศึกษา, ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และสิ่งที่เกี่ยวกับความสะอาด (สบู่ถูตัว, ยาสีฟัน, น้ำยาปรับผ้านุ่ม และผลิตภัณฑ์ซักผ้า) นอกจากนี้ ค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมชาย/สตรี ค่าทำเล็บ) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการราคาลดลง ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มในภาพรวมชะลอตัวค่อนข้างมาก เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มแก๊สโซฮอล์และเบนซิน, เครื่องใช้ไฟฟ้า (เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า), เสื้อผ้าบุรุษ, หน้ากากอนามัย, โฟมล้างหน้า, ที่เขียนคิ้ว ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม, ค่าสมาชิกเคเบิลทีวี, เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ และค่าทัศนาจรในประเทศ
ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 1.75% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่สูงขึ้น 1.93% (YoY)
วิชานันกล่าวอีกว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไตรมาสที่ 2 ปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากราคาสินค้าสำคัญหลายรายการมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ ประกอบกับฐานราคาปี 2565 อยู่ระดับสูง และมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การส่งออกของไทยที่ชะลอตัว และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อของภาคธุรกิจและประชาชนลดลง ซึ่งมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าและก๊าซหุงต้มที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการขาดแคลนแรงงาน ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นทุนอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ เศรษฐกิจของไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ วันหยุดยาว และการหาเสียงของพรรคการเมือง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น และจะส่งผลต่ออุปสงค์โดยรวม ราคาสินค้าและบริการตามลำดับ ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2566 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน จากระหว่าง 2.0-3.0% (ค่ากลาง 2.5%) เป็นระหว่าง 1.7-2.7% (ค่ากลาง 2.2%) และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง
“ในภาพรวมเรามองว่าเงินเฟ้อกำลังอยู่ในช่วงขาลง และจะทยอยลดลงต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยเงินเฟ้อในไตรมาส 2 น่าจะอยู่ที่ 2% นิดๆ ยกเว้นเดือนเมษายนที่จะมีเงินไหลเข้าสู่ระบบมากขึ้นในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่ถึง 3% อยู่ดี ส่วนช่วงครึ่งปีหลังเงินเฟ้อจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1% กว่าๆ ทำให้โดยรวมเรามองว่าเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 2.2%” วิชานันระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- ส่องแบงก์รัฐ-พาณิชย์ ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ เท่าไรกันบ้าง? หลัง กนง. ประชุมนัดแรกของปี 2566
- คลอดแล้ว! เกณฑ์ ‘Virtual Bank’ ธปท. จำกัดไลเซนส์แค่ 3 ราย เผยมีผู้สนใจแล้ว 10 ราย เล็งประกาศผลกลางปีหน้าก่อนเริ่มให้บริการจริงปี 68