การระบาดของโรคโควิด-19 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เว้นแม้แต่ ‘ตลาดร้านอาหาร’ มูลค่า 4 แสนล้านบาท ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกัน ซึ่งการจะผ่านวิกฤตนี้ได้ขึ้นอยู่กับว่า สามารถปรับตัวได้รวดเร็วแค่ไหน
สำหรับ ‘กลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด’ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมีแบรนด์ร้านอาหารที่เป็นที่รู้จักได้แก่ The Pizza Company, Swensen’s, Sizzler, The Coffee Club, Dairy Queen, Burger King และ BonChon รวมมากกว่า 2,200 ร้านใน 26 ประเทศ ระบุว่าการปรับตัวได้เรียนรู้มาจากธุรกิจที่อยู่ในเมืองจีน
ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไมเนอร์ ฟู้ด ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างฉับพลันรวดเร็ว โดยธุรกิจที่จีนโดนก่อนใครเพื่อนจึงต้องปิดร้านในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติในเดือนมีนาคม
การฟื้นก่อนใครเพื่อนได้กลายเป็นบทเรียนให้กับธุรกิจในประเทศไทยได้เรียนรู้ต่อ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีระเบียบวินัยทางการเงิน ดูสัดส่วนหนี้สินต่อทุน พิจารณาการลงทุนตามกรณีไป ถ้าให้ผลตอบแทนดีก็พร้อมจะลงทุน เช่น Cloud Kitchen หรือการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ส่วนการลงทุนด้านเทคโนโลยีนั้นเต็มใจที่จะลงทุน เพราะผลในระยะยาวจะทำให้ไมเนอร์ ฟู้ด เติบโตอย่างมั่นคง
“ไมเนอร์ ฟู้ด มีรายได้จากในประเทศไทย 70% อีก 30% มาจากธุรกิจในต่างประเทศ โดยต้นปีนั้นช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ รายได้ยังเติบโตตามปกติ ส่วนช่วงล็อกดาวน์เดือนมีนาคม-พฤษภาคม กระทบแต่ได้เดลิเวอรีเข้ามาช่วย โดยเดือนเมษายนถือเป็นจุดต่ำสุดซึ่งได้ผ่านมาแล้ว ช่วงต่อไปเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคมเป็นช่วงฟื้นธุรกิจ ซึ่งเห็นทิศทางปรับตัวที่ดีขึ้น ตอนนี้ยอดขายกลับมาเกิน 80% ของการระบาดแล้ว”
ในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์นั้น ประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยอดขายจากเดลิเวอรีเติบโตขึ้น 3 เท่า โดยบางแบรนด์แทบจะไม่ได้รับผลกระทบเลย เช่น The Pizza Company และ BonChon
ส่วนบางแบรนด์ก็ได้รับผลกระทบพอสมควร เช่น Sizzler ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่กินที่ร้าน และ The Coffee Club สาขาส่วนใหญ่ 60-70% อยู่ในหัวเมืองท่องเที่ยว จึงได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไป สำหรับ Burger King ซึ่งมีสาขาบางส่วนอยู่ในหัวเมืองท่องเที่ยวและมีฐานลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ ได้รับผลกระทบเช่นกันแต่ไม่มากนัก เพราะได้ปรับตัวโดยการลดราคาอาหาร 5-10% เพื่อให้เข้าถึงคนไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ ‘เดลิเวอรี’ ก็ใช่ว่าจะเป็นผลต่อธุรกิจไปเสียหมด เพราะมาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเบียดให้กำไรที่บางเฉียบอยู่แล้ว บางมากขึ้นอีกทั้งต้นทุนของแพ็กเกจจิ้งที่บางแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 100% ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการฟู้ด เดลิเวอรี
ดังนั้น สิ่งที่ไมเนอร์ ฟู้ด จะทำคือการผลักดันให้ลูกค้าหันมาสั่งผ่านแพลตฟอร์มของตัวเอง 1112 Delivery เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยสร้างฐานข้อมูลลูกค้าให้กับองค์กรได้อีกด้วย โดย ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ไมเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับ THE STANDARD ว่า ไมเนอร์ ฟู้ด มีแผนที่จะยกเครื่องระบบ CRM ในเร็วๆ นี้ โดยจะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคและใช้งานได้อย่างง่ายมากขึ้น
ขณะเดียวกันเพื่อรองรับการเติบโตของเดลิเวอรี ทางไมเนอร์ ฟู้ด ได้พัฒนา Cloud Kitchen ซึ่งตอนนี้ได้ใช้ The Pizza Company เป็นฮับด้วย มีสาขากว่า 400 สาขามากที่สุดของกลุ่มและกระจายไปทั่วประเทศ โดยขณะนี้มี BonChon และ Sizzler ได้เริ่มทำ Cloud Kitchen แล้ว โดยปัจจุบันมี Cloud Kitchen แล้วประมาณ 10 กว่าสาขา
นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาโมเดลรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มากขึ้น โดยมีร้านรูปแบบคีออสเป็นการให้บริการ Grab & Go ที่สามารถสร้างรายได้ โดยจะตั้งร้านอยู่ใกล้กับความสะดวกของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ สถานที่ทำงาน รถไฟฟ้า ฯลฯ โดยมี Sizzler To Go นำร่องก่อนแล้ว ซึ่งนอกจากร้านรูปแบบคีออส ร้านอื่น ๆ เช่น The Coffee Club ก็ผลักดันบริการ Grab & Go เช่นกัน
สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ในปีนี้ เช่นการเข้าควบรวมกิจการ หรือ M&A (Merger and Acquisition) ชัยพัฒน์ ย้ำว่า อาจจะยังไม่ได้เห็นเพิ่มอีกในปีนี้ เพราะต้นปีก็เพิ่งใช้เงิน 2,483 ล้านบาท เข้าถือสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ของ BonChon และใช้อีก 1,000 ล้านบาทสำหรับเข้าถือหุ้นของ BreadTalk โดย BonChon นั้นถือว่าเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยมีแผนขยายให้ครอบ 90 สาขาในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านของ ไมเนอร์ ฟู้ด อีกราว 100 สาขา จากทั้งหมด 1,000 กว่าสาขาที่ยังต้องปิดอยู่ เพราะตั้งอยู่ในหัวเมืองท่องเที่ยวที่ยังต้องประเมินสถานการณ์ก่อนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง โดยไมเนอร์ ฟู้ด คาดหวังว่า เมื่อถึงสิ้นปียอดขายจะต้องกลับมาให้เท่ากับก่อนการระบาด ส่วนรายได้หากสามารถทำได้เท่ากับปีที่แล้ว ถือว่าดีที่สุดแล้ว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์