×

‘มิเกล อาร์เตตา’ เปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลจากทีมที่กำลังแตกให้กลายเป็นแชมป์ได้อย่างไร

04.08.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • สิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ที่อาร์เตตาพยายามที่จะเข้ามาจัดการ คือการปรับจูนสภาพจิตใจใหม่ และทำให้ทุกคนรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร
  • เพื่อรีดเค้นศักยภาพของนักเตะออกมาให้มากที่สุด อาร์เตตาได้ปรับจนพบระบบการเล่นที่ลงตัว 3-4-3 ที่นำทีมไปสู่การเป็นแชมป์เอฟเอคัพ
  • คนที่เป็นปัญหาในทีมอย่าง เมซุต โอซิล และ มัตเตโอ เกวนดูซี ถูกตัดออกจากทีมอย่างเด็ดขาดเพื่อรักษาบรรยากาศที่ดีภายในทีมเอาไว้

ถึงแม้ว่า ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง จะเป็นกัปตันทีมที่ได้ชูถ้วยแชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 14 ของทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล (ในบรรยากาศอลหม่านเพราะดูมีปัญหากับถ้วยตั้งแต่แบกมาทั้งฐานแล้ว!) แต่อีกภาพหนึ่งที่น่าจดจำไม่แพ้กันจากในเกมนัดชิงชนะเลิศเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาคือภาพของ มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีมที่ฉลองอย่างสุดเหวี่ยงในห้องแต่งตัว

 

และไม่ผิดที่หลายคนจะเข้าใจได้ว่าความสำเร็จของอาร์เซนอลครั้งนี้มาจากฝีมือของกุนซือมือใหม่หัดขับชาวสเปนคนนี้เกือบทั้งหมด

 

ที่ต้องบอกเช่นนี้ เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงปลายปีที่แล้วมีใครสักคนบอกว่าอาร์เซนอลจะกลับมาเป็นทีมที่ดีและได้ชูถ้วยแชมป์สักใบในช่วงบั้นปลายของฤดูกาลอาจจะถูกมองด้วยสายตาว่าไม่บ้าก็เมา

 

เพราะสภาพของกันเนอร์สในยามนั้นหนักหนาสาหัส ทีมมีปัญหาแทบทุกจุด แม้กระทั่งกัปตันทีมอย่าง กรานิต ชากา ก็แตกคอกับแฟนบอลอย่างร้ายแรงชนิดที่ดูแล้วแทบไม่มีโอกาสที่ดาวเตะชาวสวิตเซอร์แลนด์จะได้สวมเสื้อของอาร์เซนอลอีกครั้ง

 

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่อาร์เตตาตอบตกลงที่จะเข้ามารับหน้าที่ต่อจาก อูไน เอเมรี กุนซือคนเก่าที่ทิ้งขยะและซากปรักหักพังมากมายให้ปัดกวาดเช็ดถู

 

กุนซือที่มีวัยเพียง 38 ปีรายนี้เปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลจากทีมที่ใกล้แตกสลายให้กลายเป็นแชมป์อีกครั้งได้อย่างไร?

 

รอยยิ้มและความสุขในทีมที่เริ่มกลับมา

 

รู้หน้าที่ มีวินัย กำลังใจมา

สิ่งที่อาร์เตตาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกคือเรื่องบรรยากาศของทีมที่เป็นพิษ ปัญหาทางการสื่อสารของเอเมรีทำให้ทีมเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เฉพาะความสงสัยต่อความสามารถของผู้จัดการทีม แต่ยังรวมถึงความสงสัยในตัวเพื่อนร่วมทีม

 

และเหนืออื่นใดคือความสงสัยในตัวเอง ที่ไม่รู้ว่า ‘หน้าที่’ ของตนคืออะไร

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ที่อาร์เตตาพยายามที่จะเข้ามาจัดการ โดยตามคำบอกเล่าของ กรานิต ชากา อดีตกัปตันทีมที่นอกจากจะไม่ถูกเขี่ยทิ้งออกจากทีมด้วยแล้วยังสามารถกลับมาเป็นตัวหลักได้อย่างน่าภาคภูมิใจ สิ่งที่นายใหญ่คนใหม่ทำคือปรับจูนสภาพจิตใจใหม่ และทำให้ทุกคนรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร

 

“ตั้งแต่ที่มิเกลได้เข้ามาสโมสรของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เขาเปลี่ยนในเรื่องของจิตใจ วิธีคิด ทีมสปิริต ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มผู้เล่น แต่เป็นการเปลี่ยนทุกฝ่าย ทุกคนรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร เรามีเกมแพลนที่ชัดเจน”

 

การที่มีแผนงานอย่างชัดเจนช่วยให้ผู้เล่นมองภาพออกว่าพวกเขากำลังจะต้องเผชิญกับอะไร ในสถานการณ์แบบไหน และมีวิธีในการรับมืออย่างไรบ้าง โดยที่ในแต่ละคนจะได้รับรายละเอียดในการเล่นของตัวเองที่ชัดเจน

 

ปัญหาในหลายสโมสรคือการที่บางครั้งคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง (แต่ดันรู้หน้าที่ของคนอื่น!) ซึ่งทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาร์เตตาแก้ไขตรงนี้ก่อนเป็นอย่างแรก

 

เมื่อทุกอย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือผลงานที่ดีขึ้น แม้จะไม่ได้ดีแบบปุบปับรับโชค แต่การที่ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ทุกคนเริ่มมั่นใจ และสิ่งสำคัญคือการที่ทุกคนมีความสุขอีกครั้ง

 

ความสุขที่กลับมาทำให้อะไรที่เคยยากก็กลับมาง่าย

 

หาคำตอบใหม่

ความจริงแล้วอาร์เซนอลไม่ใช่ทีมที่มีขุมกำลังขี้เหร่อะไรมากมาย พวกเขามีแนวรุกที่เชิดหน้าชูตาได้ไม่แพ้ใครอย่างโอบาเมยอง, อเล็กซองเดร ลากาเซตต์ และ นิโกลาส์ เปเป ขณะที่จุดอื่นแม้อาจจะเป็นรองคู่แข่งบ้างแต่ก็ไม่เลวร้ายแน่นอน

 

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมาคือ การที่พวกเขาไม่รู้จะจัดทีมอย่างไรให้เล่นได้อย่างดีและเต็มประสิทธิภาพที่สุด เพราะนักเตะที่มีนั้นต่อให้เป็นนักเตะที่ดีก็ไม่ใช่จะเล่นได้ในระบบการเล่นแบบเดิมๆ

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้อาร์เตตา ได้พยายามที่จะปรับจูนทีมมาเรื่อย ก่อนจะพบสูตรสำเร็จใหม่ที่ลงตัวอย่างมากและทำให้พวกเขาทำผลงานได้ดีมากๆ ในช่วงปลายฤดูกาลที่จัดการสอยลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ติดต่อกัน ก่อนที่จะเชือดเชลซีคว้าแชมป์เอฟเอคัพมาครองได้

 

สูตรดังกล่าวคือระบบการเล่นใหม่ 3-4-3 ระบบเดียวกับที่ อันโตนิโอ คอนเต เคยปรับมาใช้และนำเชลซี เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2016-17 มาแล้ว

 

ในระบบนี้ ดาวิด ลุยซ์ กองหลังจอมเฟอะก็แปลงร่างกลายเป็นจอมแกร่งได้แทบจะทันที โดยมี คีแรน เทียร์นีย์ ที่ปกติเล่นแบ็กซ้าย กลายเป็นปราการหลังทางฝั่งซ้ายแทน และปล่อยให้เกมริมเส้นเป็นหน้าที่ของสายสปีดอย่าง บูกาโย ซากา, เอนส์ลีย์ เมตแลนด์-ไนล์ส (ซึ่งเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในนัดชิงกับเชลซี), เซอัด โคลาซินัช และอีกฟากเป็นหน้าที่ของ เฮกเตอร์ เบเยริน, เซดริก ซัวเรซ

 

นอกจากนี้ในระบบนี้ยังเป็นการปลดปล่อยตัวพระเอกของทีมอย่างโอบาเมยอง ให้ได้ยืนประจำการทางฝั่งซ้ายที่สามารถใช้ความเร็วและเทคนิคในการสร้างปัญาให้แก่คู่แข่ง​โดยมี ลากาแซตต์ เป็นตัวเป้าหลอกที่ดึงตัวประกบให้ ส่วนทางขวาเป็นเปเป ที่อาจจะยังเล่นได้ไม่เต็มศักยภาพนักแต่ก็ดีวันดีคืน

 

แต่ไม่ใช่แค่ระบบการเล่นที่เปลี่ยนสไตล์ของทีมก็เปลี่ยนด้วยเช่นกัน โดยอาร์เซนอลจากที่เป็นทีมเน้นเกมรุกพยายามต่อบอลเข้าโจมตีแต่ไม่มีประสิทธิภาพ อาร์เตตาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีมที่สามารถเล่นได้หลากหลายรูปแบบ ทำได้แม้กระทั่งตั้งรับและสวนกลับอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งก็เป็นไม้เด็ดที่ทำให้ได้ชัยชนะเหนือทีมใหญ่)

 

เกมเพรสซิ่งก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อาร์เซนอลทำได้โดดเด่น แม้ว่าจะไม่ใช่ทีมที่วิ่งบ้าเลือดใส่คู่แข่งแบบ Gegenpressing ของลิเวอร์พูล แต่เป็นการเพรสซิ่งที่มีประสิทธิภาพซึ่งเกิดจากการที่ผู้เล่นเข้าใจในสิ่งที่อาร์เตตาต้องการให้ทำและมีวินัยพอที่จะทำให้มันได้ผล

 

นับได้ว่าอาร์เตตาได้พิสูจน์ตัวเองในเรื่องของ ‘มันสมอง’ ให้เห็นว่ากึ๋นเป็นของจริง และทำไมจึงได้รับการยกย่องจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในโลกขนาดนี้

 

เกวนดูซีถูกขับจากทีมทันทีหลังทำตัวมีปัญหา

 

อาร์เตตาค่อยๆ ลดบทบาทโอซิลในทีมจนกลายเป็นส่วนเกินชัดเจน

 

ใช้ ‘พระเดช’ อย่างถูกต้อง

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่คาราคาซังในทีมอาร์เซนอลมานานคือเรื่องของ เมซุต โอซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในสตาร์คนที่ดังที่สุดของทีมแต่ในช่วงหลายปีหลังเป็นตัวปัญหาที่ทำให้อาร์เซนอลติดหล่มไม่สามารถจะก้าวเดินต่อไปไหนได้

 

อาร์เตตาเองไม่ได้ถึงกับปิดกั้นโอกาสของจอมเก๋าชาวเยอรมันเสียทีเดียว แต่เมื่อไม่สามารถเอาชนะใจเขาได้กุนซือชาวสเปนก็ทำในสิ่งที่เด็ดขาดด้วยการตัดโอซิลออกจากทีม 

 

โดยการตัดนั้นเป็นการทำอย่างเฉียบขาดแต่นุ่มนวลในเวลาเดียวกัน โดยพยายามให้เหตุผลต่างๆ นานา (เช่น เรื่องของแท็กติก) แต่ก็ค่อยๆ ลดโอกาสในการลงสนามลงจนไม่เหลือเลย และนำไปสู่การที่โอซิลไม่มีส่วนกับทีมแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดในทีมถึง 350,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

 

แม้กระทั่งในนัดชิงชนะเลิศก็ไม่ได้อยู่ในทีมและไม่ปรากฏตัวในสนามเวมบลีย์ด้วย ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างมาก และปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ไม่มีโอซิลอยู่ทำให้อาร์เซนอลนั้นดูเป็นอีกทีมที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

 

อีกหนึ่งคนที่เป็นตัวปัญหาคือ มัตเตโอ เกวนดูซี มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่มี ‘ชื่อเสีย’ ในเรื่องของทัศนคติและความประพฤติอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนจะย้ายมาอยู่กับกันเนอร์ส และสุดท้ายไปก่อเรื่องในเกมที่อาร์เซนอล พลิกพ่ายต่อไบรท์ตันในช่วงแรกของการรีสตาร์ทพรีเมียร์ลีก ด้วยการมีเรื่องกับ นีล เมาเปย์ 

 

จากเหตุการณ์นี้ทำให้อาร์เตตาเรียกเกวนดูซีเข้ามาพูดคุยเพื่อขอคำชี้แจง แต่มิดฟิลด์วัย 21 ปีทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ซึ่งจากเรื่องนี้และเหตุการณ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ทำให้อาร์เตตาตัดสินใจเด็ดขาดที่จะดรอปจากทีม ก่อนจะตัดจากทีมอย่างเด็ดขาดหมดอนาคตทันที โดยไม่สนเรื่องของฝีเท้าการเล่นของเจ้าหนูรายนี้ที่เป็นที่ชื่นชมของแฟนๆ จำนวนมาก

 

กรานิต ชากา (ขวา) และ ดานี เซบายอส คือสองคนที่ได้โอกาสจากอาร์เตตาให้พิสูจน์ตัวเองและไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง

 

ใช้ ‘พระคุณ’ ได้ถูกคน

นอกจากจะใช้ ‘พระเดช’ อย่างถูกต้องแล้ว อาร์เตตายังมี ‘พระคุณ’ ไม่ผิดคนด้วย 

 

ที่ชัดเจนที่สุดในกรณีนี้คือคู่มิดฟิลด์ตัวกลางคู่ใหม่ของทีมที่เหมือนจะไม่มีอนาคตทั้งคู่แต่ก็กลับมาจับคู่กันได้อย่างชากาและดานี เซบายอส 

 

โดยในรายของชากา อย่างที่รู้กันว่าหมดอนาคตไปแล้วจากการที่ไปเปิดปากต่อล้อต่อเถียงกับแฟนบอล ซึ่งหากเป็นปกติแล้วก็ควรจะโดนเฉดหัวออกจากทีมทันที แต่ทางด้านอาร์เตตากลับไม่คิดเช่นนั้น และให้โอกาสกับดาวเตะชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้พิสูจน์ตัวเอง

 

เพราะกุนซือชาวสเปนรู้ว่าชากา เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับทีมอย่างเต็มร้อย ต่อให้โดนริบปลอกแขนกัปตันไปก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เขาต้องเปลี่ยนไป ซึ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นยังเป็นบทเรียนที่ทำให้กองกลางสายบู๊ได้เรียนรู้ชีวิตไปอีกขั้นด้วย และทำให้กลับมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า

 

ขณะที่ในรายของเซบายอส ซึ่งถูกยืมมาจากเรอัล มาดริด แต่ไม่สามารถแจ้งเกิดกับทีมได้และเหมือนจะไม่มีอนาคต ก็เป็นทางด้านอาร์เตตา ที่มองขาดว่าจริงๆ แล้วยังมีบทบาทที่เหมาะสมที่จะทำให้ดาวเตะชาวสเปนโชว์ศักยภาพที่แท้จริงออกมา

 

ว่าแล้วก็ทดลองให้จับคู่กับชากาในแดนกลาง และกลายเป็นคู่ตัวหลักของทีมในเวลานี้

 

แน่นอนว่าชากาและเซบายอส เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของนักเตะที่ได้รับโอกาสจากอาร์เตตา ซึ่งยังมีอีกหลายรายรวมถึง ดาวิด ลุยซ์ ที่ถึงจะมีเกมที่เลวร้ายจนอยากลืมในหลายนัดแต่ตราบใดที่ยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่มากพอโอกาสจากนายใหญ่ก็พร้อมมีให้เสมอ

 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ มิเกล อาร์เตตา ได้ทำจนสามารถเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลจากทีมที่ดูไม่ได้ แม้กระทั่งแฟนบอลบางคนยังไม่อยากจะใส่เสื้อทีม ให้กลับมาเป็นทีมที่ดี เล่นมีระบบ ระเบียบ วินัย มีทรง และที่สำคัญคือดูก็รู้ว่าทีมนั้นเล่นด้วยหัวใจจริงๆ

 

แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่อาร์เตตาต้องทำอีกมากมายในการจะยกระดับอาร์เซนอลให้กลับมาเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษจริงๆ อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่งานของเขาคนเดียวด้วยเพราะต้องรวมถึงฝ่ายบริหารและเจ้าของสโมสรที่จะต้องช่วยส่งเสริมด้วยการลงทุนกับทีม

 

แต่อย่างน้อยที่สุดวันนี้อาร์เซนอลก็กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

FYI
  • หนึ่งในสิ่งที่สื่อมวลชนในอังกฤษยกย่องอาร์เตตา คือความสามารถในการแก้เกมในระหว่างการพักดื่มน้ำที่เรียกว่าเข้าขั้นมาสเตอร์คลาส เช่น ในเกมนัดชิงเอฟเอคัพกับเชลซี ที่เรียก คีแรน เทียร์นีย์ มาฟังบรีฟแก้เกมสั้นๆ ด้วยการบอกแค่ว่าให้พยายามเจาะเกมรุกทางฝั่งขวาของเชลซีอย่าง เซซาร์ อัซปิลิเกวตา ให้หนักขึ้น
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising