Midsummer Night’s Dream Bar ค็อกเทลบาร์ ร้านดอกไม้ และบทละครตลกร้ายของเชกสเปียร์

ค็อกเทลบาร์น้องใหม่ล่าสุด Midsummer Night’s Dream Bar คือโปรเจกต์บาร์เล็กบนชั้น 2 ของร้านดอกไม้ Wynn Wood Florist ที่จริงๆ แล้ววางแผนไว้ว่าจะเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 แต่จากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บาร์ต้องเลื่อนเปิดจากแผนเดิม ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง จนถึงตอนนี้เรายังไม่ทราบได้ว่าบาร์จะได้กลับมาเปิดเมื่อไร บาร์เลยตัดสินใจเปิดตัวด้วยเมนูม็อกเทลและม็อกเทลจากกาแฟ เป็นทีเซอร์แรกก่อนถึงวันที่จะเปิดเต็มรูปแบบได้อีกครั้ง

Midsummer Night’s Dream Bar เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนผู้ชอบดื่มอย่าง อาร์ม-พีรพัสภ์ บุญประสิทธิ์, จิ๊บ-นวินดา แก้วดอนหัน และ กุ๊กไก่-พิกุล ชัยจิตวณิชกุล ซึ่งอาจเรียกได้ว่าร้านดอกไม้ Wynn Wood Florist เป็นจุดเริ่มต้นก่อนในฐานะร้านดอกไม้ออนไลน์ แต่พอจังหวะที่วางแผนเปิดหน้าร้าน อาคารขนาด 4 ชั้นแห่งนี้จึงรับบทเป็นทั้งร้านดอกไม้บริเวณชั้น 1 และประตูสู่ค็อกเทลบาร์ถึง 3 ชั้น 3 สไตล์ด้านบน ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทละครในชื่อเดียวกับบาร์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์

ออย-วรีวรรณ ยอดกมล บาร์เมเนเจอร์ของร้านเล่าให้เราฟังว่า ค็อกเทลของที่นี่ออกแบบมาเพื่อให้ประสบการณ์ครบทั้ง 5 สัมผัส ซึ่งในตอนนี้เมนูของทางร้านเน้นม็อกเทลเบสกาแฟที่หยิบเอาคลาสสิกค็อกเทลมาทวิสต์อย่าง Aurora Coffee (120 บาท) ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังดื่ม Old-Fashioned แก้วเข้ม แต่แก้วนี้คือกาแฟโคลด์บรูว์ที่มีส่วนผสมของส้มและกระเจี๊ยบคอร์เดียล

Midsummer Night’s Dream แทบจะเป็นบทละครในจำนวนน้อยของเชกสเปียร์ที่ไม่ใช่โศกนาฏกรรมความรัก แต่เล่าเรื่องราวความรักแบบตลกร้ายผ่านเรื่องเสมือนจริงหรือฝันที่เกิดขึ้นกลางป่า ซึ่งนอกจากร้านดอกไม้และการตกแต่งจะสร้างฉากป่าตามบทละครได้แล้ว ความหอมของดอกไม้ยังถูกนำมาเป็นส่วนประกอบของค็อกเทลเช่นเดียวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ตอนนี้มีให้ลองเวอร์ชันเวอร์จิ้นไปก่อนอย่าง Virgin Drop of Enchanted (140 บาท) ม็อกเทลที่เบสด้วยชา น้ำดองขิง ดอกหอมหมื่นลี้ เลมอน และไข่ขาว ตกแต่งด้วยดอกปีบและดรอปไซรัปสีม่วงที่เป็นตัวแทนของดอกไม้สีม่วงจากปลายศรของคิวปิด ที่ตามบทละครเล่าว่าถ้าหยดน้ำจากดอกไม้นี้ที่ใครในระหว่างหลับ คนคนนั้นจะตื่นขึ้นมาหลงรักคนแรกที่ตัวเองมองเห็น เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ต้นเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเรื่องก็ว่าได้

สำหรับชั้น 3 วางแผนไว้ให้เป็น Gin Bar ที่นอกจากจะรวมเหล้าจินยี่ห้อต่างๆ ไว้มากมาย ก็ยังเน้นความเป็น Perfect Serve หรือค็อกเทลจากจินที่มีการจับคู่กับโทนิก มิกเซอร์อื่นๆ และการ์นิชที่ออกแบบมาแล้วว่าเข้ากับจินตัวนี้ดีที่สุด เรียกว่าไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากเพราะบาร์คิดมาให้แล้ว แต่ในขณะเดียวกันจะมิกซ์แอนด์แมตช์เองก็ไม่มีใครว่าเช่นกัน

ส่วนชั้น 4 ชั้นสุดท้ายความตั้งใจคือ Private Room ที่เน้นบรรยากาศเป็นส่วนตัว ซึ่งเราคงจะได้เห็นทั้ง 3 ส่วนนี้แบบเต็มๆ อีกทีเมื่อบาร์ได้กลับมาเปิดอย่างเป็นทางการ ส่วนตอนนี้ใครคิดถึงการดื่มหน้าบาร์ สามารถสั่งม็อกเทลแก้วต่างๆ จิบทิพย์รอบาร์เปิดกันได้ก่อนเลย