ช่วงนี้ถือเป็นเวลาที่หลายประเทศได้เปิดให้เราได้บินไปเที่ยว พักผ่อน หรือดื่มด่ำบรรยากาศและอาหารดีๆ กันบ้างแล้ว ซึ่งบางคนอาจไม่ได้ออกนอกประเทศมานานกว่า 3 ปี ตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีกับการตามเก็บร้านอาหารระดับ Michelin Star ที่ตั้งอยู่ในทั่วทุกมุมโลก THE STANDARD POP จึงขอแนะนำ 13 ร้านประดับดาว Michelin Star จากทั่วโลก ที่ถ้ามีโอกาสก็ควรไปลองสักครั้ง หรือถ้าไม่ได้ไปเอง รู้ไว้ก็น่าจะดีอยู่เหมือนกัน
1. The Fat Duck ประเทศอังกฤษ
ภาพ: The Fat Duck Group
The Fat Duck เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านร้านอาหารมาหลายทศวรรษ โดยเชฟ Heston Blumenthal ได้เปิดร้านในปี 1995 ที่ผับเก่าในหมู่บ้าน Bray ประเทศอังกฤษ และได้รับ Michelin Star ครั้งแรกในปี 1999 ครั้งที่สองในปี 2002 และครั้งที่สามในปี 2004 ยิ่งไปกว่านั้น ในปี 2005 ร้านนี้ยังได้รับตำแหน่งหนึ่งใน 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก
ด้วยความอัจฉริยะของเชฟที่นำเสนอ และมีวิธีการทำอาหารอังกฤษที่แตกต่างไปจากเดิม ทำให้ร้านนี้เป็นที่จดจำ ซึ่งหากจะให้นิยามความเป็นร้านด้วย 1 เมนู ต้องยกให้ ‘Heston’s Sound of the Sea’ ที่เปิดตัวในปี 2007 เป็นเมนูที่ทำให้ผู้กินได้รับประสบการณ์การกินที่หลากหลาย ทั้งสัมผัสด้วยปาก และการฟังเสียงคลื่นทะเลด้วยหู
2. The French Laundry สหรัฐอเมริกา
ภาพ: The French Laundry
The French Laundry โดยเชฟ Thomas Keller เปิดในปี 1994 เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ซึ่งได้รับ Michelin Star 3 ดวงทุกปี นับตั้งแต่ปี 2007 ทางร้านมีวิธีการทำอาหารโดยใช้เทคนิคคลาสสิกของฝรั่งเศส จับคู่กับวัตถุดิบสดใหม่ตามสภาพแวดล้อม ถึงขนาดผู้วิจารณ์ Food Republic กล่าวว่า นี่คือหนึ่งในประสบการณ์การกินอาหารที่ดีที่สุดในชีวิต!
3. Alinea สหรัฐอเมริกา
ภาพ: Alinea
Alinea โดยเชฟ Grant Achatz เปิดในปี 2005 และในปี 2017 ร้านได้รับ 3 ดาวเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ร้านยังได้รับรางวัล 3 ดาวใน Michelin Guide 2020 ซึ่งเป็นร้านอาหารแห่งเดียวในชิคาโกที่ได้รับ 3 ดาวในปีนั้น ด้วยเทคนิคการทำอาหารที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ ทำให้ผู้มาเยือนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ กลับไป
4. Azurmendi ประเทศสเปน
ภาพ: Azurmendi
Azurmendi โดยเชฟ Eneko Atxa Azurmendi ได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านอาหารที่ยั่งยืนที่สุดในโลก พร้อมผสมผสานอาหารระดับโลกไว้ในเมนูต่างๆ ได้อย่างลงตัว จนได้รับ Michelin Guide 3 ดาว นอกจากจะเป็นร้านอาหารแล้ว พวกเขายังตั้งใจให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้วัฒนธรรม ผ่านสถานที่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเยี่ยมชมวัตถุดิบและขั้นตอนการทำอาหารโดยเฉพาะ
5. Osteria Francescana ประเทศอิตาลี
ภาพ: Osteria Francescana
Osteria Francescana โดยเชฟ Massimo Bottura ตั้งอยู่ในเมืองโมเดนา ประเทศอิตาลี ได้รับรางวัลดาวมิชลินคนที่สามในปี 2012 ได้รับคัดเลือกว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในปี 2012 และปี 2016 ตามข้อมูลของ Michelin Guide ระบุไว้ว่า นี่คือร้านอาหารที่เบาและมีความสมดุล มุ่งเน้นให้ผู้ที่มากินได้สัมผัสวัฒนธรรมกับสูตรอาหารดั้งเดิม โดยไม่หวนนึกถึงอดีต
6. Robuchon au Dôme มาเก๊า
ภาพ: Michelin Guide
Robuchon au Dôme ให้บริการอาหารระดับโลกในบรรยากาศที่สูงเสียดฟ้า ร้านอาหารฝรั่งเศสในมาเก๊า ตั้งชื่อตาม Joël Robuchon ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 2018 และร้านเคยครองดาวมิชลิน 32 ดวงในปีเดียว ซึ่งเป็นผลงานที่เชฟคนอื่นไม่สามารถทำได้มาก่อน
7. Le Bernardin สหรัฐอเมริกา
ภาพ: Le Bernardin
Le Bernardin เปิดตัวครั้งแรกในนิวยอร์ก โดยพี่น้องชาวฝรั่งเศส Maguy และ Gilbert Le Coze ในปี 1986
ตามที่ The World’s 50 Best Restaurants อธิบายไว้ Le Bernardin นำเสนอเมนูมากมาย อาหารหนึ่งจานผสมผสานองค์ประกอบของอาหารจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากเอเชีย ด้วยเทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม
8. Restaurant de l’Hôtel de Ville ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ภาพ: Restaurant de l’Hôtel de Ville
Restaurant de l’Hôtel de Ville นำโดยเชฟชื่อดัง Benoit VIolier ในปี 2012 และเขาได้เสียชีวิตในปี 2016 ภรรยาจึงมอบให้กับเชฟ Franck Giovanni ในบทวิจารณ์ของ Fodor’s Travel ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ร้านอาหารไม่เพียงแต่รักษาดาวมิชลิน 3 ดวงได้เท่านั้น แต่เชฟคนใหม่ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ได้รับรางวัลที่สูงขึ้นไปอีก อาหารภายในร้านทำจากวัตถุดิบท้องถิ่น ผสมผสานความคิดอย่างสร้างสรรค์ และถูกนำเสนอออกมาอย่างประณีต
9. Ultraviolet เซี่ยงไฮ้
ภาพ: Ultraviolet
Ultraviolet โดยเชฟ Paul Pairet เป็นหนึ่งในร้านที่มีเอกลักษณ์มากที่สุด และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านที่พาผู้ที่มากินไปพบกับทิศทางการกินอาหารแบบใหม่ โดยการสร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่หลากหลาย Michelin Guide กล่าวว่า ผู้ที่มากินจะได้หลั่งอะดรีนาลีนค่อนข้างมาก
10. Central ประเทศเปรู
ภาพ: Central
Central โดยเชฟ Virgilio Martínez และเชฟ Pia León คู่หูคู่สามีภรรยาที่มีความหลงใหลในการทำอาหาร และมีความตั้งใจให้ผู้ที่มากินเข้าใจสิ่งที่เราเห็นในธรรมชาติ ทำให้แต่ละเมนูในคอร์สมีส่วนผสมที่เติบโตร่วมกันในระบบนิเวศที่ระดับน้ำนั้นๆ
11. Noma ประเทศเดนมาร์ก
ภาพ: CNN
Noma ของเชฟ René Redzepi ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกไม่น้อยกว่าสี่ครั้ง ตามรายงานของ The World’s 50 Best Restaurants และ Michelin Guide ได้ขนานนามว่าเป็นร้านที่มีความล้ำหน้าที่สุดในโลก อาหารภายในร้านเกิดจากส่วนผสมที่แปลกใหม่ หาได้จากชนบทโดยรอบ เช่น มด หรือราที่สามารถกินได้
12. Mirazur ประเทศฝรั่งเศส
ภาพ: Mirazur
Mirazur โดยเชฟ Mauro Colagreco ชาวอาร์เจนตินา ที่มุ่งมั่นที่จะปลูกผักของตัวเอง และมีความตั้งใจเกี่ยวกับ Zero Waste เขาบอกกับ Michelin Guide ว่า สิ่งเหล่านั้นทำให้เรากลับคืนสู่ดินแดนที่เรายืมมาได้ เขาใช้มุมมองระดับจุลภาคว่าอาหารแต่ละจานควรจะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ทำให้เกิดเป็นเมนูใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งในปี 2019 Mirazur ก็เป็นหนึ่งใน 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก
13. Den ประเทศญี่ปุ่น
ภาพ: Den
Den โดยเชฟ Zaiyu Hasegawa ได้คิดค้นอาหารไคเซกิแบบดั้งเดิมขึ้นใหม่ และได้รับรางวัลด้านการทำอาหารจากความกล้าได้กล้าเสียแต่ขี้เล่นกับเมนูภายในร้าน
อ้างอิง: