งานวิจัยล่าสุดที่จัดทำโดย McKinsey Global Institute (MGI) ในหัวข้อ Asia on the cusp of a new era เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและการเมืองโลกในปัจจุบันอาจส่งผลให้โลกเข้าสู่ยุคใหม่ ถึงแม้ว่าภูมิภาคเอเชียกำลังเริ่มต้นยุคใหม่นี้อย่างแข็งแกร่ง แต่ก็คาดว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายระดับโลกที่เพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากบทบาทสำคัญที่เอเชียมีต่อเศรษฐกิจโลก ตั้งแต่ความตึงเครียดทางการค้า สังคมผู้สูงวัย ไปจนถึงความต้องการความมั่นคงด้านพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
ภาคธุรกิจในเอเชียกำลังเตรียมการเชิงรุกสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญควบคู่ไปกับการวิจัยใหม่นี้ ทาง MGI ยังได้ร่วมมือกับ Asia Business Council ดำเนินการสำรวจซีอีโอในภูมิภาค ผลการวิจัยพบว่าซีอีโอกว่า 80% มีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่างไรก็ตาม 3 ใน 4 ของบรรดาซีอีโอมองว่าการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญจะมีความจำเป็นในการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
“ในยุคที่ผ่านมาเอเชียอาจได้รับประโยชน์มากกว่าภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากเทรนด์สำคัญ เช่น โลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง เมื่อคำนึงถึงภาพรวมซึ่งประกอบไปด้วยประเทศที่หลากหลาย เห็นได้ชัดว่าในปัจจุบันประเทศในเอเชียได้กลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก และพร้อมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของยุคใหม่นี้” Jeongmin Seong, Partner ของ McKinsey Global Institute (MGI) กล่าว
ขณะที่ Chris Bradley, Senior Partner ของ McKinsey & Company และ Director ของ MGI กล่าวว่า ยุคใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างไปจากที่เคยพบเห็นในอดีต และเอเชียจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบการดำเนินการเหล่านี้
“เอเชียเป็นเหมือนเตาที่หล่อหลอมยุคใหม่ และเป็นไปได้ที่เอเชียจะเผชิญกับความท้าทายระดับโลกที่เข้มข้นและแข็งขันมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เอเชียนั้นเป็นทางแยกทางการค้าที่สำคัญของโลก และอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากความตึงเครียดทางการค้าทั่วโลก” Chris กล่าว
“ซีอีโอในเอเชียส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต แต่พวกเขาก็ตระหนักถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคใหม่นี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจในเอเชียจำนวนมากตระหนักถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อว่าในปีถัดๆ ไปจะมีความแตกต่างไปจากช่วงที่ผ่านมาอย่างมาก และพวกเขาจะต้องมีความพร้อมในการปรับตัว” Nick Leung, Senior Partner ของ McKinsey & Company กล่าว
ส่วน Gautam Kumra, Senior Partner ของ McKinsey & Company และ Chairman of McKinsey Asia กล่าวว่า ภายในเอเชียมีกลุ่มภูมิภาคที่แตกต่างกันออกไปอย่างน้อย 5 กลุ่มภูมิภาค โดยแต่ละกลุ่มภูมิภาคจะเข้าสู่ยุคใหม่นี้ด้วยวิธีเฉพาะตัวของตัวเอง แต่พร้อมที่จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของยุคใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
“เหล่านานาประเทศในเอเชียในแต่ละภูมิภาคสามารถนำจุดแข็งของแต่ละประเทศมาเกื้อกูลกันผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ” Gautam กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลสำคัญที่นำเสนอ ได้แก่
ในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเอเชียได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเชื่อมต่อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนการขยายตัวของเมืองและจำนวนเงินทุนที่เพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบัน 59% ของการค้าที่เกี่ยวข้องกับประเทศในเอเชียเกิดขึ้นระหว่างประเทศในเอเชีย
ในยุคที่กำลังจะมาถึงนี้ ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากปัจจัยที่มีอิทธิพลในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ในแกนหลักของปัจจัยเหล่านี้คาดได้ว่าเหล่าประเทศในเอเชียจะต้องเผชิญกับความท้าทายระดับโลกที่เข้มข้นและแข็งขันมากขึ้นใน 5 ประเด็นสำคัญดังนี้
- เอเชียครองตำแหน่งทางแยกทางการค้าโลก แต่อาจกลายเป็นจุดสำคัญของความตึงเครียดทางการค้า จากเส้นทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก 80 เส้นทาง เอเชียมีส่วนร่วมในอย่างน้อย 49 เส้นทางจากปลายด้านหนึ่ง และอีก 22 เส้นทางจากทั้งสองปลายทาง นอกจากนี้เอเชียยังเป็นที่ตั้งของระเบียงเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด 18 แห่งจาก 20 แห่งทั่วโลก และ 13 แห่งจาก 20 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปัจจุบันความร่วมมือทางการค้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นตัวขับเคลื่อนการบูรณาการเชิงพาณิชย์มากกว่าความร่วมมือทางการเมือง แล้วความร่วมมือดังกล่าวจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่หากความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น
- เอเชียมีความเป็นเลิศในด้านการผลิตเทคโนโลยี ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค อิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรม ยานยนต์ไฟฟ้า และเซมิคอนดักเตอร์ สัดส่วนดังกล่าวคิดเป็นมากกว่า 40% ของส่วนแบ่งรายได้ การลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาและสิทธิบัตรที่ถือครองโดยบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นนำ 3,000 แห่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเคลื่อนไปสู่ซอฟต์แวร์และโซลูชันเป็นหลัก แล้วเอเชียจะสามารถสร้างบทบาทใหม่ให้กับตัวเองในฐานะผู้คิดค้นและผู้ผลิตเทคโนโลยีได้หรือไม่
- เอเชียมีตัวเลขของประชากรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด โดยมีประชากรวัยทำงานอายุน้อยจำนวนมากและผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นในประเทศเศรษฐกิจที่มีความสำคัญตามแนวขอบแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม ประเทศในภูมิภาคที่มีผลผลิตสูงเหล่านี้กำลังเผชิญกับความท้าทายในแง่ของประชากรสูงวัย แม้ว่าเอเชียยังคงมีแรงงานที่จำเป็นในการขับเคลื่อนการเติบโต แต่ประมาณ 90% ของการเติบโตที่คาดหวังของแรงงานนอกภาคเกษตรระหว่างปี พ.ศ. 2565-2593 (2022-2050) จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่ระดับผลผลิตค่อนข้างต่ำ แล้วเอเชียจะสามารถเคลื่อนตัวไปสู่ห่วงโซ่คุณค่าใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายตัวของแรงงานและยกระดับประสิทธิภาพการทำงานอย่างทั่วถึงได้หรือไม่
- เอเชียเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่ก็ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ปัจจุบันเอเชียยังคงตามหลังในด้านการใช้พลังงาน โดยการใช้พลังงานต่อหัวมีเพียง 1 ใน 3 ของค่าเฉลี่ย OECD เท่านั้น การรักษาความมั่นคงทางพลังงานที่ต้องการอาจมีความซับซ้อนมากขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า นอกจากนี้เอเชียยังติดอันดับประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนรายใหญ่ที่สุดของโลก และการเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่สะอาดก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ที่ต้องคอยจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่ภูมิภาคต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งยากต่อการลดการปล่อยคาร์บอน แล้วเอเชียจะสามารถรักษาความมั่นคงพลังงานที่จำเป็นพร้อมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้หรือไม่
- เอเชียดึงดูดเงินทุนได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก โดยมีมูลค่ารวม 91 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2564 (2000-2021) อย่างไรก็ตาม ความต้องการเงินทุนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทศวรรษหน้าความต้องการการลงทุนคงที่ของเอเชียอาจสูงถึงเกือบ 140 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่ามูลค่ารวมทั้งสิ้น 89 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แล้วเอเชียจะสามารถรักษาเงินทุนที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่คาดการณ์ได้ยากกว่าเดิมและแรงกดดันด้านงบดุลที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ความท้าทายจึงตกไปอยู่ที่การขยายตลาดการเงินและเพิ่มการจัดสรรทุนและผลตอบแทนจากการลงทุน
ทั้งนี้ เอเชียเข้าสู่ยุคใหม่จากตำแหน่งที่แข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นตัวแทนของกลุ่มคน ‘ส่วนใหญ่’ ของโลก โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2558-2564 (2015-2021) เอเชียมีส่วนทำให้ GDP โลกเติบโตถึง 52% ในช่วงปี พ.ศ. 2544-2564 (2001-2022) เอเชียมีบทบาทสำคัญโดยมีส่วนทำให้การเติบโตของการค้าโลก 59% และมูลค่าเพิ่มการผลิตทั่วโลก 53% นอกจากนี้เอเชียยังเป็นที่ตั้งของครัวเรือนชนชั้นกลางถึง 56% ของโลก
จากการสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดย Asia Business Council พบว่า 82% ของผู้บริหารระดับสูงที่ตอบแบบสำรวจมีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับยุคที่กำลังจะมาถึง อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ซึ่งคิดเป็น 74% เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นทั่วทั้งประเด็นสำคัญทั้ง 5 ข้อ
ผลการสำรวจเผยให้เห็นถึงกลุ่มบริษัท 3 ประเภทที่แตกต่างกัน มีดังนี้
- บริษัทประมาณ 10% รู้สึกว่าพวกเขาสามารถรักษาแนวทาง ‘การดำเนินธุรกิจตามปกติ’ ได้ ผู้นำธุรกิจส่วนน้อยกลุ่มนี้เชื่อว่าแนวโน้มใน 5 ประเด็นสำคัญดังกล่าวมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ค่อนข้างต่ำสำหรับธุรกิจของตน
- บริษัทประมาณ 16% ตระหนักถึงความจำเป็นในการพิจารณาทบทวนกลยุทธ์ของตนใหม่ในหนึ่งหรือสองประเด็น โดยที่เทคโนโลยีและพลังงานเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุด
- บริษัทกลุ่มที่เหลือกว่า 74% เชื่อว่าพวกเขาจะต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานอย่างน้อยภายในสามประเด็นสำคัญขึ้นไป
อนึ่ง รายงานนี้นับเป็นรายงานลำดับที่สามในชุด cusp of a new era ของ MGI ที่มุ่งเน้นไปที่เอเชียเป็นหลัก ในปี พ.ศ. 2565 (2022) MGI เผยแพร่งานวิจัยระดับโลกภายใต้ชื่อ On the cusp of a new era? ในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2566 (2023) เราได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่ปรับแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มลาตินอเมริกา ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับเอเชีย MGI ได้ร่วมมือกับ Asia Business Council เพื่อดำเนินการสำรวจในหมู่สมาชิก โดยการสำรวจมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อประเมินความเกี่ยวข้องของประเด็นหลักทั้ง 5 ประการที่เป็นแกนหลักของการวิจัยของ MGI และเพื่อกำหนดกลยุทธ์เชิงกลยุทธ์ที่จำเป็น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นในแต่ละประเด็น