“เราต้องลุ้นให้เรดบูลล์แข่งไม่จบ รวมไปถึงเฟอร์รารี และบางทีตอนนี้อาจต้องรวมถึงแอสตัน มาร์ตินด้วย หากเราจะได้รับชัยชนะในตอนนี้
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราตามพวกเขาไม่ทัน สิ่งที่เราต้องทำคือพยายามต่อสู้ ไม่มีใครในการแข่งขันนี้หนีจากความท้าทายได้
“อาจจะจริงว่าเราอยากจะอยู่แถวหน้าพวกเขา อยากจะนำในการแข่งขัน รวมไปถึงอยากจะชนะมากกว่า แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ต้องยอมรับว่ามันยาก และเราจำเป็นต้องรับมือกับความท้าทาย เพราะมันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย”
นั่นเป็นคำให้สัมภาษณ์ของ ลูอิส แฮมิลตัน ก่อนการแข่งขันในศึกซาอุดีอาระเบียนกรังด์ปรีซ์ ซึ่งเมื่อผลการแข่งขันจบลง ก็เป็นอย่างที่ ‘ท่านเซอร์’ ได้กล่าว หลังจากที่เมอร์เซเดสทำได้แค่จบในอันดับ 4 และ 5 จาก จอร์จ รัสเซลล์ และแฮมิลตัน ตามลำดับ
อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมอร์เซเดสพลาดการขึ้นโพเดียมในสนามนี้ หลังในตอนแรกสหพันธ์รถยนต์ระหว่างประเทศ (FIA) ตัดสินว่า เฟร์นานโด อลอนโซ นักขับจอมเก๋าชาวสแปนิชจากแอสตัน มาร์ติน ใช้โทษปรับ 5 วินาทีในสนามไม่ครบตามกฎ ทำให้โดนโทษปรับ 10 วินาที
แต่ต่อมาทางแอสตัน มาร์ติน ได้ยื่นข้อโต้แย้งไปยัง FIA และเป็นผลทำให้อลอนโซได้กลับไปสู่โพเดียมอีกครั้งในอันดับที่ 3 และเป็นการขึ้นโพเดียมครั้งที่ 100 ของนักขับชาวสเปนวัย 41 ปีรายนี้
ส่วนอันดับ 1 ตกเป็นของ ‘เชโก’ เซร์คิโอ เปเรซ ที่ออกสตาร์ทในตำแหน่งโพล ส่วนอันดับที่ 2 เป็นของนักขับเจ้าของรางวัล Driver of the Day อย่าง แม็กซ์ แวร์สเตปเพน ที่โชว์ฟอร์มเทพด้วยการออกสตาร์ทจากอันดับ 15 ก่อนมาจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์
ซึ่งทั้งสองอันดับแรกนับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งของทีมเรดบูลล์ และเป็นการขึ้นไปยืนใน 2 อันดับแรกของโพเดียมเป็นสนามที่สองติดต่อกัน (แม้จะสลับคนยืนก็ตาม) ของทีมจากออสเตรียทีมนี้ด้วย
หลังจบการแข่งขันที่เจดดาห์คอร์นิชเซอร์กิตในซาอุดีอาระเบีย มีการพูดถึงความสุดยอดของทั้งทีมเรดบูลล์ รวมไปถึงความยอดเยี่ยมของ ‘น้าโซ่’ แต่อีกหนึ่งกระแสด้านลบก็ถาโถมเข้ามาหาทีม ‘ซิลเวอร์แอร์โรว์’ ที่ทำผลงานน่าผิดหวังเป็นสนามที่สองติดต่อกันเช่นกัน
ดังนั้นคำถามที่น่าสนใจคือ ‘เกิดอะไรขึ้นกับเมอร์เซเดส?’
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมเมอร์เซเดสมีปัญหาอย่างมากในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ เพราะเมื่อตัดภาพกลับไปที่บาห์เรนกรังด์ปรีซ์ในสนามแรกที่บาห์เรนอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต ลูอิส แฮมิลตัน ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของทีม จบอันดับ 5 ของเรซนั้น โดยตามหลัง แม็กซ์ แวร์สเตปเพน แชมป์จากเรดบูลล์ถึง 50.977 วินาที
ขณะที่ในสนามนี้ จอร์จ รัสเซลล์ ที่จบอันดับ 4 ก็ตามหลังเชโก แชมป์ในสนามที่สองถึง 25.866 วินาที แม้ดูในภาพรวมแล้วเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในกีฬาที่แข่งขันกันด้วยความเร็วระดับ ‘ที่สุดในโลก’ อย่าง F1 ระยะเวลาเกือบครึ่งนาทีนี้ยังถือว่า ‘ห่างไกล’ เกินไป
ช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมเมอร์เซเดสมีเสียงวิจารณ์ในเชิงบวกมากมายจากบรรดาสื่อและนักวิคราะห์ที่เข้าไปทำข่าว และแม้ทางด้านบรรยากาศในทีมก็ดูเป็นบวก หลังจากปลายฤดูกาลก่อนพวกเขาทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ
โดยเฉพาะหลังจากที่ จอร์จ รัสเซลล์ คว้าแชมป์ได้ในบราซิเลียนกรังด์ปรีซ์ และ ลูอิส แฮมิลตัน ได้รองแชมป์ในสนามเดียวกัน ก็ดูเหมือนนั่นจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าพวกเขาเริ่มปรับปรุงรถได้ถูกทาง
การสร้างรถ W14 ที่ใช้ในฤดูกาลนี้แทนรถ W13 ที่ใช้ในฤดูกาลก่อนในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในการที่จะทำให้ทีมซิลเวอร์แอร์โรว์กลับมาไล่ล่าแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาลนี้
แต่หลังจากผลการทดสอบที่น่าผิดหวังในช่วงพรีซีซันเทสต์ หนึ่งสัปดาห์ก่อนการแข่งขันที่บาห์เรน ต่อด้วยผลงานการจบอันดับ 5 แบบตามหลังแชมป์กว่า 50 วินาที จึงทำให้บรรยากาศภายในทีมดังจากอังกฤษเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ โตโต วูล์ฟฟ์ บิ๊กบอสของทีม ถึงกับกล่าวว่า “เป็นหนึ่งในวันที่เลวร้ายที่สุดในการแข่ง”
หนึ่งในเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นต้นตอของปัญหาคือ การคงคอนเซปต์ Zero-Sidepod ของรถเอาไว้ โดยแนวคิดนี้คือความพยายามในการออกแบบไซด์พอดให้มีขนาดเล็กจนแทบจะหายไปในตัวถังรถ โดยเมอร์เซเดสหวังว่าแนวคิดนี้จะสร้างแรงกดและลดแรงต้านอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ชัยชนะในเรซรองสุดท้ายที่บราซิลเมื่อปลายฤดูกาลก่อนอาจกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่าในระยะยาว เนื่องจากมันทำให้พวกเขามั่นใจในแนวคิด Zero-Sidepod มากขึ้น
แต่การทดสอบรถช่วงพรีซีซันเทสต์วันที่ 2 จาก 3 วันปรากฏว่า แฮมิลตันต้องดิ้นรนเพื่อหาสมดุลในตอนเช้า ก่อนที่รัสเซลล์จะพังด้วยปัญหาระบบไฮดรอลิกในเซสชันต่อมา
นั่นจะเป็นจุดสิ้นสุดของการมองโลกในแง่ดี และสิ่งที่ตอกย้ำเรื่องนั้นคือการฝึกซ้อม 3 ครั้งในสัปดาห์ถัดมา ตามด้วยรอบควอลิฟายด์และการแข่งขันในเรซแรก เป็นที่ข้อบ่งบอกที่ชัดเจนว่า แนวคิดของเมอร์เซเดสมีข้อบกพร่อง และความหวังในปี 2023 ของพวกเขาก็ริบหรี่ลงทันที
อีกปัจจัยหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงหลังจากความล้มเหลวของเมอร์เซเดสในช่วงต้นฤดูกาลนี้คือ ‘ความชะล่าใจ’
ในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2014-2021 ความโดดเด่นของเมอร์เซเดสเกิดจากเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะคิดว่าแผนกแอโรไดนามิกส์ของพวกเขาไม่จำเป็นต้องดีที่สุดก็ได้
แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วในเรื่องเครื่องยนต์ของทีมคู่แข่งอย่างเรดบูลล์และเฟอร์รารีที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ความได้เปรียบของพวกเขาหายไป
นอกจากนี้ทีมซิลเวอร์แอร์โรว์ยังสูญเสียบุคลากรหลักไปอีกหลายคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แอนดี โคเวลล์ หัวหน้าฝ่ายเครื่องยนต์ แยกทางกับทีมก่อนเปิดฤดูกาล 2020 ขณะที่ เจมส์ อัลลิสัน อดีตผู้อำนวยการด้านเทคนิค ได้รับบทบาทใหม่ในปี 2021 ซึ่งทำให้เขาต้องถอยห่างจากหน้าที่ที่เคยทำ
ขณะที่อีก 2 หัวใจสำคัญอย่าง เอริค บลันดีน หัวหน้านักแอโรไดนามิกส์ กับ เจมส์ โวลเลส หัวหน้านักยุทธศาสตร์ทีม คนหนึ่งก็ย้ายไปอยู่กับแอสตัน มาร์ติน ขณะที่อีกคนก็ย้ายไปเป็นทีมบอสของวิลเลียมส์
นอกจากนี้เมอร์เซเดสยังสูญเสีย เบน ฮอด์กคินสัน หัวหน้าแผนกวิศวกรรมเครื่องกล ให้กับเรดบูลล์เมื่อปีก่อนอีกด้วย
นับจนถึงตอนนี้เท่ากับว่าเมอร์เซเดสสูญเสียบุคลากรจากยุคสมัยที่พวกเขาเป็นจ้าวในกีฬาชนิดนี้ไปทั้งหมดราว 15 คนจากการย้ายทีม
ทั้งหมดเป็นผลที่เกิดขึ้นจากกฎการควบคุมงบประมาณการใช้จ่ายของ FIA ที่ประกาศใช้ในปี 2021 เพราะถึงแม้ว่าเมอร์เซเดสจะเป็นหนึ่งในทีมที่ร่ำรวยที่สุดในการแข่งขันกีฬาชนิดนี้ แต่กฎดังกล่าวจะคอยป้องกันไม่ให้พวกเขาทุ่มเงินเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแบบที่พวกเขาอาจทำได้ในอดีตด้วย
ทีนี้คำถามสำคัญคือ ‘พวกเขาจะกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่พวกเขาควรอยู่ได้เร็วแค่ไหน?’
เมอร์เซเดสได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงแฟนๆ ของทีมพวกเขา โดยกล่าวว่า “ทีมกำลังทำงานอย่างเร่งด่วนและไม่ลนลาน เพื่อสร้างแผนฟื้นฟูทีมของเรา” พร้อมยืนยันว่า พวกเขาจะไม่ตื่นตระหนก ฟาดงวงฟาดงา หรือมองหาแพะรับบาป
นั่นอาจหมายความได้ว่า เมอร์เซเดสยังไม่ได้ยอมแพ้ในรถรุ่น W14 ที่พวกเขาใช้ในการแข่งขัน F1 ฤดูกาลนี้โดยสิ้นเชิง พวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อช่วยให้พวกเขากลับสู่เส้นทางสู่ความสำเร็จได้
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงสำหรับรถที่ออกแบบมาแล้วและถูกนำไปใช้ในการแข่งขันแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาไม่น้อย ในขณะที่เวลาในการแข่งขันฤดูกาลนี้ก็ยังดำเนินต่อไป และจำนวนเรซที่จะใช้แข่งขันเพื่อสะสมคะแนนก็จะค่อยๆ ลดลง
ดังนั้นสิ่งที่แฟนๆ ทีมซิลเวอร์แอร์โรว์ทำได้ในตอนนี้คงมีแต่อดทนและรอคอย พร้อมกับภาวนาว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ทีมต้องการแก้ไขให้เกิดขึ้นนั้นจะมาถึงเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…
อ้างอิง:
- https://www.mirror.co.uk/sport/formula-1/breaking-mercedes-car-breakdown-russell-29305327
- https://www.crash.net/f1/news/1018314/1/wolff-stupid-pill-not-behind-mercedes-f1-2022-failure
- https://www.skysports.com/f1/news/12433/12832392/mercedes-f1-struggles-how-did-they-get-here-and-what-is-next-for-lewis-hamilton-and-his-team
- https://www.bbc.com/sport/formula1/65008849
- https://www.bbc.com/sport/formula1/65008832
- https://www.crash.net/f1/news/1020792/1/what-fluorescent-paint-f1-cars-bahrain-testing
- https://thesportsrush.com/f1-news-f1-team-principals-2023-who-are-the-people-in-charge-of-all-ten-formula-1-teams-for-the-2023-season/