×

ส่องเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุน หมุนให้ทันโลกแห่งอนาคต

11.04.2024
  • LOADING...

ปีนี้เป็นปีเฮงของเมกะเทรนด์มากๆ ครับ ใครที่ลงทุนเมกะเทรนด์กันไว้ปีก่อน ปีนี้ผลตอบแทนเป็นบวกกันเยอะทีเดียว เพราะโลกเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาไม่หยุดนิ่ง เป็นโมเมนตัมที่ทำให้หลายๆ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนตามไปด้วย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นกันหลายเท่า แนวโน้มธุรกิจก็ยังเติบโตมีอนาคตไปต่อได้อีกไกล

 

ถ้าคุณจะถามผมว่า ตอนนี้ยังลงทุนได้อีกไหม ความเห็นส่วนตัวผมคือเป็นโอกาสดี น่าคว้าไว้ ‘ลงทุน’ ครับ เพราะธีมต่างๆ ยังไปต่อได้อีกไกล อย่าลืมว่า โลกมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้หยุดนิ่งนะครับ แล้วจะเลือกลงทุนเมกะเทรนด์อะไรดี และจะลงทุนอย่างไรไม่ให้ตกขบวนรถรอบปีนี้ เรามาดูไอเดียการเลือกลงทุนแบบง่ายๆ ใกล้ตัวกันครับ

 

สถิติหลัง Fed ลดดอกเบี้ย ดัชนี S&P 500 มักดีดขึ้นกว่า 7% ใน 1 ปี

 

ทำไมผมถึงบอกว่าปีนี้ยังเป็นโอกาสน่าคว้าลงทุนหรือครับ

 

ปกติแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงย่อมเป็นบวกต่อตลาดหุ้นอยู่แล้ว ข้อมูลสถิติชี้ชัดจาก City Index ที่เก็บสถิติมาตั้งแต่ปี 2525 บ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 มักดีดขึ้นกว่า 7% ภายใน 1 ปี หลัง Fed ประกาศลดดอกเบี้ยครั้งแรก ประกอบกับ CME FedWatch Tool ส่งสัญญาณว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนที่จะถึงในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว

 

ตลอดช่วงปีที่แล้ว นักลงทุนต่างเริ่มขยับปรับพอร์ตกลับเข้าตลาดหุ้นกันตั้งแต่ต้นปีแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่วิ่งขึ้นไปรอตั้งแต่ต้นปีก่อน เนื่องจากตลาดคาดการณ์ล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า ปี 2566 จะเป็นปีจบรอบของดอกเบี้ยขาขึ้น

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายที่ระดับ 5.25-5.50% เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 และหลังจากนั้นมีมติคงอัตราดอกเบี้ยมาจนถึงปี 2567 โดยส่งสัญญาณจะเห็นการพิจารณาปรับดอกเบี้ยลงภายในปี 2567 และในการประชุมล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อวันที่ 19-20 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% และ FOMC มองว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะยังไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น จนกว่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังปรับตัวสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน 

 

ด้าน เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed กล่าวถึงการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรก มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งในปีนี้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์จะเห็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายนนี้ และปรับลดลง 2-3 ครั้งภายในปีนี้ แต่ก็มีเสียงแตกว่า Fed อาจปรับลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์

 

ด้านข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนมีนาคม 2567 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.3 สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ระดับ 48.1 โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยสูง ส่วนดัชนี Headline PCE เดือนกุมภาพันธ์ที่ออกมา ปรับขึ้น 2.8%YoY สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์

 

ส่วนตัวผมมองว่า แนวโน้มที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเริ่มกลางปีนี้ หรือลากยาวไปช่วงครึ่งปีหลังก็ตาม ถือว่าล้วนเป็นบวกต่อตลาดหุ้นอยู่แล้วครับ และในระหว่างนี้ที่ Fed ยังไม่เริ่มปรับดอกเบี้ย ก็ยิ่งถือเป็นจุดที่คุณยังสามารถคว้าโอกาสลงทุนแต่เนิ่นๆ ได้ และถ้าคุณวางแผนการลงทุนไว้ดี คุณก็รอเตรียมเฮหลัง Fed ประกาศลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ได้นะครับ

 

ส่องเมกะเทรนด์ไหนดี ช่วยชาร์จพลังพอร์ตรับโลกอนาคต

 

ส่วนใครที่มองว่าตลาดหุ้นหลายแห่งปรับขึ้นไปตั้งแต่ปีที่แล้ว กลัวว่าจะแพงไป ผมก็แนะนำให้มองหาโอกาสใหม่ๆ นอกจากตัวตลาดหุ้น นั่นคือ เลือกกระจายการลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ ผมเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มสีสันให้พอร์ตรวมของคุณได้ผลตอบแทนดีในระยะยาวไม่น้อยทีเดียว

 

ใครๆ ก็พูดถึงเมกะเทรนด์ๆ เต็มไปหมด กลายเป็นยิ่งมีเยอะก็ยิ่งเลือกยากเข้าไปอีก แล้วเราจะเลือกลงทุนเมกะเทรนด์อะไรดีหรือครับ

 

ผมขอแนะนำง่ายๆ แบบนี้นะครับ ก่อนอื่นลองหลับตาแล้วจินตนาการถึงโลกในอนาคตดูว่า ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

 

สิ่งที่คุณจะนึกถึงมีอะไรบ้างครับ…รถยนต์ที่จะขับเคลื่อนด้วยตัวของมันเอง คุณอาจไม่ต้องพิมพ์งานด้วยตัวเองอีกต่อไป แค่คิดว่าจะเขียนอะไร AI ก็จะเขียนออกมาให้คุณได้ทุกอย่าง หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านที่ตามจับและกำจัดสิ่งสกปรกได้แบบที่คุณไม่ต้องมาคอยเปิดเครื่องหรือกดสั่งการ

 

และถ้าคุณลองมองดีๆ เรื่องราวในจินตนาการที่ว่ามันเริ่มปรากฏขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และทั้งหมดเกิดขึ้นได้ด้วย AI ใช่ไหมครับ

 

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังจาก ChatGPT เทคโนโลยี AI ที่จับต้องได้ง่ายสำหรับทุกคนเปิดตัว มนุษย์ทำงานก็แอบหวั่นไหว เมื่อเห็นหลายๆ เว็บไซต์จั่วหัวข่าวรุนแรงพาให้ใจสั่นว่า ‘AI จะมาแย่งงานคุณ’

 

แต่จริงๆ แล้ว ถ้าคุณลองมาคิดดูดีๆ นั่นอาจไม่ใช่คำเตือน แต่เป็นโอกาสลงทุนของคุณก็ได้ครับ

 

ผมเชื่อว่าทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกต่างมีอุปกรณ์ที่สำคัญใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะมีเจ้า ‘ชิป’ ตัวเล็กๆ แต่ทรงพลังมาก ถือเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าสูงของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นผู้พัฒนาและผลิตชิปขึ้นมา ผมจึงมองไม่เห็นเลยว่า โลกในอนาคตจะขาด ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ไปได้อย่างไรกัน

 

เมกะเทรนด์อย่าง ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เติบโตแรงมากนับตั้งแต่ช่วงโควิด และแรงไม่หยุดเมื่อโลกเกิด Tech War ระหว่างสหรัฐฯ และจีน จนมาถึงวันนี้ และโลก AI พัฒนาไม่จบสิ้น ทำให้ ‘เซมิคอนดักเตอร์’ น่าจะไปต่อยาวๆ ในอนาคต

 

ผมยังนึกถึงอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่ยังเติบโตมาแรงควบคู่กัน คือ ‘Cloud และ Cyber  Security’

 

เพราะทุกวันนี้ การทำงานของพนักงานออฟฟิศทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากอดีตหลายสิบปีก่อนจะมีห้องเก็บเอกสารกินพื้นที่หลายตารางเมตร ต่อมาก็เปลี่ยนสู่การส่งไฟล์บนโลกออนไลน์ มาถึงทุกวันนี้ เอกสารกระดาษถูกเปลี่ยนผ่านเป็นข้อมูลนับล้านในโลกของ Cloud ไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ออฟฟิศของผมก็แทบไม่ใช้กระดาษสักใบเลยครับ 

 

ปัจจุบันไม่ว่าภาครัฐหรือภาคธุรกิจต่างก็ยกระดับมาใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า ทำให้มีการใช้ Cloud ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้น Cloud จึงเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่พร้อมเติบโตไปกับโลกอนาคต

 

ส่วน Cyber  Security ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในทุกองคาพยพบนโลกที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล เพราะทุกวันนี้มีข่าวเกิดขึ้นบ่อยมากเกี่ยวกับ ‘การโจมตีกันทางไซเบอร์’ ขณะที่ทั้งรัฐและภาคธุรกิจต่างก็หันมาใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ปัจจุบันทั่วโลกต่างเริ่มลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบมหาศาล และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะข้อมูลเหล่านั้นมีมูลค่าที่ประเมินค่าไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเมกะเทรนด์ที่ผมพูดถึงข้างต้น ขอแนะนำให้ลงทุนผ่าน ETF ดีกว่าหุ้นรายตัวครับ เพราะหุ้นรายตัวส่วนใหญ่ราคาขึ้นไปสูงมาก และจะมีความเสี่ยงสูงมากกว่าด้วยครับ แต่ถ้าลงผ่าน ETF จะถือหุ้นต่างๆ กระจายในหลายๆ ประเทศ และเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ผลตอบแทนโดยรวมจะวิ่งเกาะดัชนีไปด้วยกันครับ และคุณจะสามารถวัดได้ด้วยว่าเงินที่ลงทุนไปชนะตลาดแค่ไหน หรือต่ำกว่าตลาดอย่างไรครับ

 

ส่วนเมกะเทรนด์หลักๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ผมพูดถึงอยู่นั้นให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไรบ้าง ผมขอยกตัวอย่างจากพอร์ตของ Jitta Wealth ที่มีตัวเลขเปิดเผยมาให้ดูครับ

 

ถ้าเป็นธีมเทคโนโลยีที่ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมวงกว้าง ผ่านกองทุน iShares Global Tech ETF ซึ่งช่วง 1 ปีย้อนหลัง ผลตอบแทนสูง +37.77% แต่ถ้าดูย้อนหลัง 3 เดือนที่ผ่านมาก็ยังเห็นผลตอบแทนเป็นบวก 12.28% ถ้าส่องเข้าไปดูหุ้นหลักๆ ที่กองทุนนี้ถืออยู่ก็จะเป็นหุ้นใหญ่ๆ ที่คุณรู้จักกัน เช่น Microsoft, Apple, NVIDIA, Taiwan Semiconductor Manufacturing 

 

มาดูธีม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ของ Jitta Wealth ที่ลงทุนผ่านกองทุน VanEck Vectors Semiconductor ETF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อย่างบริษัท NVIDIA, Taiwan Semiconductor Manufacturing, Broadcom ถ้าใครที่ลงทุนมานาน 5 ปี ตอนนี้ผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 331.49% ทีเดียวครับ ส่วนผลตอบแทนช่วง 1 ปีย้อนหลัง พุ่งสูงถึง 72.02% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน +33.17% ตอกย้ำว่า ถ้าเชื่อมั่นในอนาคตโลกเทคโนโลยีที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีในระยะยาวครับ

 

ส่วนธีม ‘คลาวด์ (Cloud Computing)’ จะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจกับเทคโนโลยีคลาวด์ ครอบคลุม SaaS, PaaS และ IaaS ผ่านกองทุน WisdomTree Cloud Computing Fund ซึ่งผลตอบแทนในช่วง 1 ปีย้อนหลัง +13.97%  แถมผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน +14.4%

 

สำหรับธีม ‘Cyber  Security’ ของ Jitta Wealth ที่ลงทุนผ่านกองทุน First Trust Nasdaq Cybersecurity ETF ที่มีหุ้นสัดส่วนหลักๆ อย่างหุ้น Broadcom, CrowdStrike Holdings, Cisco Systems เป็นต้น ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง + 31.07% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน +6.31% ครับ

  

เปิดเคล็ดลับการจัดพอร์ตแบบง่ายๆ ก็ทำผลตอบแทนได้สวยๆ

 

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว และมองเห็นโอกาสการลงทุนเหมือนกับผมที่ว่า โลกหมุนไปทางไหน คุณก็ลงทุนไปทางนั้น ก็จะทำให้คุณมีโอกาสคว้าผลตอบแทนที่ดีจากการเลือกลงทุนเมกะเทรนด์แห่งอนาคต เพื่ออนาคตของพอร์ต ซึ่งจริงๆ แล้วการลงทุนในธีมเมกะเทรนด์แห่งอนาคตควรเป็นไอเดียง่ายๆ ที่ว่า ‘อะไรที่อยู่รอบตัวเรา และเรามองว่ามันจะอยู่ต่อไปในอนาคต มนุษย์จะขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้’ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ คลาวด์ และไซเบอร์ซีเคียวริตี้

 

แต่ขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นธีมอะไร ‘การกระจายความเสี่ยง’ ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งของการลงทุน ที่ผมย้ำเสมอในเรื่องของการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) นะครับ เพราะในโลกการลงทุน การกระจายความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดการขาดทุนได้บ้างครับ ส่วนใครที่บอกว่าไม่มีเงินมากพอจะมา DCA ทุกเดือนๆ ก็ไม่เป็นไรครับ คุณก็อาจทำการเติมเข้าไปเมื่อปัจจัย (เงินลงทุน) พร้อมแบบไม่ได้กำหนดเวลาก็สามารถทำได้ครับ อย่างน้อยก็ช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนให้ได้ระดับหนึ่ง

 

จริงๆ แล้วเรื่องการวางแผนชีวิตและการวางแผนทางการเงิน บวกกับการลงมือทำอย่างมีวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่หลายคนไม่ควรจะมองข้ามไปครับ

 

ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นไอเดียดีๆ ให้คุณนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกธีมเมกะเทรนด์อนาคตไกลได้เร็วขึ้นครับ

 

สุดท้ายนี้ หากคุณมีไอเดียดีๆ ในการลงทุนที่อยากแชร์ประสบการณ์ ผมเชิญชวนมาพูดคุยในเพจของ Jitta Wealth กันได้ครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising