×

มาติเยอ ฟลามินี ‘อีลอน มัสก์ แห่งวงการฟุตบอล’

30.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • คุณคิดว่าใครคือนักฟุตบอลที่ ‘รวย’ ที่สุดในโลก คริสเตียโน โรนัลโด, ลิโอเนล เมสซี, เนย์มาร์​ หรือจะเป็นรุ่นเดอะอย่าง เดวิด เบ็คแฮม
  • ในความเป็นจริงยังมีนักฟุตบอลอีกหนึ่งคนที่อยู่เหนือกว่าเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเหล่านี้ เพราะเงินรายได้ของโรนัลโด, เมสซี, เนย์มาร์ หรือเบ็คแฮม รวมกันก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับสิ่งที่เขามีในวันนี้
  • นักฟุตบอลคนนี้มีเงินหลัก ‘แสนล้าน’ ในวัยเพียงแค่ 36 ปี และยังทำหน้าที่ในสนามอยู่เลยด้วยซ้ำ มาทำความรู้จักกับเรื่องราวที่เหลือเชื่อของ มาติเยอ ฟลามินี อดีตกองกลางทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล กันดู

ในยุคที่นักฟุตบอลมีสถานะเทียบเท่าเซเลบริตี้และดารา ในยุคที่นักฟุตบอลมีเงินรายได้มากมายมหาศาลจากทั้งการทำหน้าที่ในสนามและการเป็นตัวแทนสินค้านอกสนาม คุณคิดว่าใครคือนักฟุตบอลที่ ‘รวย’ ที่สุดในโลกครับ?

 

คริสเตียโน โรนัลโด? ลิโอเนล เมสซี? เนย์มาร์?​ หรือจะเป็นรุ่นเดอะอย่าง เดวิด เบ็คแฮม?

 

ถ้าเอาในความเข้าใจทั่วไป เรื่อยไปจนถึงการจัดอันดับโดยสำนักข่าวที่น่าเชื่อถืออย่าง Forbes ก็ไม่ผิดแผกไปจากนั้นครับ

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีนักฟุตบอลอีกหนึ่งคนที่อยู่เหนือกว่าเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเหล่านี้ และเอาเข้าจริงฐานะของเขานั้นอาจจะเรียกได้ว่าอยู่เหนือ ‘กฎเกณฑ์’ ใดๆ เลยด้วยซ้ำ

 

เพราะเงินรายได้ของ โรนัลโด, เมสซี, เนย์มาร์ หรือ เบ็คแฮม รวมกันก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับสิ่งที่เขามีในวันนี้

 

นักฟุตบอลคนนี้มีเงินหลัก ‘แสนล้าน’ ในวัยเพียงแค่ 36 ปี และยังทำหน้าที่ในสนามอยู่เลยด้วยซ้ำ

 

ผมเชื่อว่าบางคนน่าจะรู้จักเขาบ้าง และบางคนอาจจะคิดว่ารู้จักเขาดี แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่านักฟุตบอลคนนี้ยังมีชีวิตอีกด้านที่มหัศจรรย์ และมีความฝันที่ยิ่งใหญ่เพื่อโลกที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้

 

มาทำความรู้จักกับเรื่องราวที่เหลือเชื่อของ มาติเยอ ฟลามินี อดีตกองกลางทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล กันดูครับ

 

 

อีลอน มัสก์ แห่งวงการฟุตบอล

เอ่ยชื่อของ มาติเยอ ฟลามินี ขึ้นมา แฟนฟุตบอลอังกฤษน่าจะพอคุ้นเคยกันอยู่บ้างกับกองกลางชาวฝรั่งเศส ที่เคยเป็นขุนพลคู่บุญของ อาร์เซน เวนเกอร์ ชนิดที่เป็นแกนหลักของทีมระดับที่ขาดไม่ได้อยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

ภาพในความทรงจำของหลายคนกับ ฟลามินี คือภาพของ ‘มิดฟิลด์กันชน’ อยู่หน้าแนวรับของทีมกันเนอร์ส ที่มีการเข้าสกัดบอลที่แม่นยำ การอ่านทางบอลที่เฉียบขาด และการเล่นตามบทบาทที่ผู้จัดการทีมกำหนดได้เป็นอย่างดี

 

แต่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่ากองกลางผู้เงียบขรึมจะมีชีวิตอีกด้านกับการเป็นเจ้าของบริษัท ‘สตาร์ทอัพ’​ ด้านพลังงาน ที่เป็นผู้นำในตลาดซึ่งมีการประเมินกันว่ามีมูลค่า 20,000 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยได้ราว 880,000 ล้านบาท!

 

เงินจำนวนดังกล่าวนั้นมากมายมหาศาลมากครับ ชนิดที่ว่าบนโลกนี้ไม่น่าจะมีนักฟุตบอลคนไหนหารายได้ได้มากเท่านี้อีกแล้ว (ถ้าไม่นับ ฟาอิก โบลเกียห์ ลูกชายสุลต่านบรูไน ที่ค้าแข้งในทีมสำรองของเลสเตอร์เวลานี้) เพราะระดับ โรนัลโด หรือ เมสซี เองยังทำรายได้แค่หลัก 80-93 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2,480-2,790 ล้านบาท) ในรอบปี 2017 ที่ผ่านมา

 

หรือแม้แต่นักกีฬาที่ Forbes ประเมินว่ามีเงินมากที่สุดในโลกอย่าง ไมเคิล ‘แอร์’​ จอร์แดน ยังมีเงินแค่ 1.85 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 57,350 ล้านบาท

 

หลายคนน่าจะมีคำถามว่า ฟลามินี เตะฟุตบอลอยู่ดีๆ แล้วไปเป็นเจ้าของบริษัทได้อย่างไร?

 

เรื่องมันมีอยู่ว่า ในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เขาถูกปล่อยตัวออกจากทีมอาร์เซนอล และย้ายไปอยู่กับทีมเอซี มิลาน ในอิตาลี เป็นช่วงเวลาเขาได้พบกับ ปาสกวาเล กรานาตา นักธุรกิจหนุ่มอีกคน

 

ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะโชคชะตาหรืออะไรก็ตาม ฟลามินีและเพื่อนใหม่เห็นพ้องต้องกันในการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาแห่งหนึ่งโดยให้ชื่อว่า GF Biochemicals

 

โดยธุรกิจของ GFB (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ) คือการผลิต ‘พลังงานทดแทน’ ที่มีพื้นฐานจาก ‘กรดเลวูลินิค’​ (Levulinic Acid) ซึ่งเป็น 1 ใน 12 โมเลกุลหลักที่กระทรวงพลังงานสหรัฐ (DOE) ระบุว่าเป็น ‘Building Blocks’ ที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นสารเคมีที่มีมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งสามารถสกัดได้จากขยะที่เคยถูกทอดทิ้งอย่างไม่มีประโยชน์มาก่อนอย่างเช่น ซังข้าวโพด หรือเศษไม้

 

ทีเด็ดคือกรดชนิดนี้มันมีความมหัศจรรย์ในระดับที่ว่ากันว่าสามารถจะกลายเป็นพลังงานทดแทน ‘น้ำมัน’ ได้ในอนาคต (และแน่นอนยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย)

 

นั่นหมายถึงมันอาจจะเป็นหนทางที่จะนำ ‘สีเขียว’ กลับมาสู่โลกในอนาคตได้เลยทีเดียว

 

เรื่องนี้ฟลามินีเก็บงำเป็นความลับไว้แม้แต่ครอบครัวเองก็ไม่รู้ จนกระทั่งในปี 2015 หรือกว่า 7 ปีนับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท ที่เขาคิดว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเปิดเผยให้โลกรู้ ทุกคนจึงได้รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทแห่งนี้

 

GFB กลายเป็นบริษัทแรกในโลกที่สามารถผลิตกรดเลวูลินิคในระดับภาคอุตสาหกรรมได้ ซึ่งอย่างที่บอกครับว่ามีการประเมินมูลค่าของตลาดนี้ไว้ (เมื่อปี 2015) ว่าสูงถึง 20,000 ล้านปอนด์

 

และนับจากวันที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการพวกเขามีแต่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

 

ในปี 2016 GFB เทกโอเวอร์บริษัท Segetis ซึ่งเป็นผู้นำเรื่องของการผลิตกรดเลวูลินิคในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิบัตรกว่า 250 รายการ ซึ่งมีตั้งแต่การผลิตน้ำหอม, พลาสติก, ไบโอโพลีเมอร์ หรือโพลีเมอร์ชีวภาพ, ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย, อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม, สารเคมีสำหรับใช้ในการเกษตร ไปจนถึงกระดาษกาว

 

นั่นหมายถึงการที่ GFB พร้อมที่จะผลิตสินค้าที่ใช้ในภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรมได้มากมาย และใกล้ตัวกว่าที่เราคาดถึง

 

ก่อนที่ในปี 2017 GFB จะประกาศความร่วมมือกับบริษัท American Process Inc. หรือ API ซึ่งเป็นบริษัทที่กลั่นน้ำตาลเซลลูโลสจากหญ้าหรือต้นไม้ ซึ่ง GFB จะใช้เพื่อทำการสกัดเอากรดเลวูลินิคออกมา ทำให้มีการประเมินว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตกรดเลวูลินิคจาก 10,000 ตันต่อปี เป็นมากที่สุดถึง 200,000 ตันต่อปี

 

แน่นอนว่าในปีนี้ ปีหน้า และปีถัดไป GFB ย่อมไม่หยุดอยู่แค่นี้ครับ พวกเขายังไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก เพราะหลังเริ่มในตลาดหลักในสหรัฐฯ อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ เป้าหมายต่อไปของ GFB อยู่ที่บราซิล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จีน ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลแบบไม่รู้จะนับตัวเลขอย่างไร

 

ฟังเรื่องราวของ ฟลามินี แล้วยิ่งรู้สึกทึ่ง

 

ส่วนตัวผมแอบคิดถึงคำว่า ‘อีลอน มัสก์ แห่งวงการฟุตบอล’

 

 

เป้าหมาย ความฝัน และความสุข

ตัวเลขมูลค่าของตลาดในธุรกิจของบริษัท GF Biochemicals อาจจะทำให้ใครต่อใครตาลุกวาว และทึ่งไปกับความร่ำรวยล้นฟ้าของฟลามินี

 

แต่สำหรับเขาแล้วเงินไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

 

โลกใบใหม่ในโลกใบเก่าที่สะอาดกว่า ดีกว่า ที่จะเป็น ‘มรดก’ ไปสู่คนรุ่นลูกรุ่นหลานต่างหากคือสิ่งแรกที่เขาคิดถึง

 

“ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ใกล้กับธรรมชาติมาตลอด และผมรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องของปัญหาสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) และเรื่องโลกร้อน (Global Warming)’ ฟลามินีให้สัมภาษณ์ไว้ในวันเปิดตัวบริษัทของเขาเป็นวันแรก”

 

ฟลามินีหวังว่ากรดเลวูลินิคจะช่วยลดปัญหาคาร์บอนในโลก ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล (ถ่านหิน ปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ) ที่มีน้อยลงและสร้างปัญหาให้แก่สิ่งแวดล้อมตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

“ในเวลานั้น เขา (ปาสกวาเล) เองก็สนใจในเรื่องปัญหาโลกร้อน และเราเห็นตรงกันว่าเราควรที่จะทำอะไรสักอย่าง ซึ่งหลังจากที่เราได้มีการพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ เราจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาไบโอเทคโนโลยีนี้ขึ้นร่วมกัน”

 

ฟลามินีและปาสกวาเล ร่วมกันค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้กับทีมนักวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยปิซา (University of Pisa) เป็นระยะเวลา 7 ปีจนพบความมหัศจรรย์ของกรดเลวูลินิค ที่จะช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

 

ในอีกด้าน GFB ของเขายังช่วยแก้ปัญหาการตกงานที่รุนแรงในอิตาลี โดยมีการจ้างคนงาน 80 คนทำงานในโรงงาน และมีเจ้าหน้าที่อีกกว่า 400 ชีวิตที่ขับเคลื่อนบริษัทที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

“ต้องบอกว่าผมโชคดีมาก” ฟลามินี กล่าว “เรามีทีมที่แข็งแกร่งมากที่จะทำงานในแต่ละวัน ซึ่งได้ทีมมาจากบริษัทที่เกี่ยวกับเคมีภัณฑ์เดิม ส่วนตัวผมเองจะทำในส่วนของการกำหนดกลยุทธ์ให้แก่บริษัท”

 

แต่ไม่ใช่ว่าพอเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตร่ำรวยมหาศาลแล้ว ฟลามินีจะทิ้งชีวิตลูกหนังไว้เบื้องหลังครับ

 

ฟุตบอลยังเป็น ‘ที่หนึ่งในใจ’ สำหรับเขาเหมือนเดิม

 

ปัจจุบันฟลามินีในวัย 34 ปียังคงค้าแข้งอยู่ครับ โดยล่าสุดเพิ่งจะย้ายจากคริสตัล พาเลซ ไปอยู่กับทีมเคตาเฟ ในลาลีกา เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา

 

เขายังตื่นเช้าไปซ้อมเหมือนเดิม และยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้ลงสนามเหมือนระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

ฟลามินียังอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปตราบเท่าที่ ‘เวลา’ ของเขาในเส้นทางสายนี้ยังเหลืออยู่

 

แต่ผมคิดว่าไม่ผิดอะไรหากเราจะจดจำเขาในฐานะนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่

 

ไม่ใช่เรื่องของผลงานในสนาม หรือเรื่องเงินทองกองเท่าภูเขา

 

แต่ในฐานะคนที่คิดอยากทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะทำสำเร็จแค่ไหนก็ตาม

 

อ้างอิง:

FYI
  • Levulinic Acid จัดเป็นสารเคมีที่น่าสนใจ เนื่องจากกรดดังกล่าวสามารถได้มาจากการย่อยสลายโมเลกุลของเซลลูโลส ที่มีอยู่ใน Non-Food Biomass หลายๆ ชนิด เช่น ผักตบชวา (Water Hyacinth) ซึ่งการใช้พืชหรือชีวมวลดังกล่าวจะมีข้อดีในด้านของการไม่มีผลกระทบหรือแข่งขันกับห่วงโซ่อาหาร อีกทั้งพืชดังกล่าวยังมีปริมาณมากและมีอัตราการเติบโตสูงในขณะที่มูลค่าของของพืชดังกล่าวต่ำ และบางครั้งถือเป็นขยะทางการเกษตร*
  • ตัวอักษร GF จากชื่อบริษัท GF Biochemicals มาจากนามสกุลของทั้งสองคือ กรานาตา และ ฟลามินี นั่นเอง
  • ฟลามินีมองว่าธุรกิจของเขายังเป็น ‘ทางออก’ จากเกมฟุตบอลด้วย เพราะชีวิตการเล่นฟุตบอลนั้นย่อมมีขึ้นมีลง และมันทำให้เขาได้คิดถึงอะไรที่แตกต่างออกไป และยังเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตด้วย
  • นอกจากฟลามินียังมีนักฟุตบอลที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจอื่นๆ เช่น กียาน อซาโมอาห์ กองหน้าทีมชาติกานา ที่เคยถูกตราหน้าว่า ‘บ้าเงิน’ ในการย้ายไปเล่นในตะวันออกกลางและจีน ก็ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับการคมนาคม โดยได้โครงการสร้างทางด่วนในบ้านเกิดมาแล้วกว่า 20 โครงการ หรือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  • ความมั่งมีของฟลามินี ทำให้มีกันเนอร์สจำนวนไม่น้อยหวังว่าเขาจะกลับมาซื้อสโมสรคืนจากสแตน โครเอนเก้…เผื่ออนาคตของอาร์เซนอลจะดีขึ้น
  • ประเทศไทยมีการใช้พลังงานทดแทนมานานแล้ว อาทิ น้ำมันแก๊สโซฮอล์, ไบโอดีเซล, ดีโซฮอล์ และอีกมากมาย ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของในหลวง รัชกาลที่ 9 ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสถึงเรื่องการใช้พลังงานว่า “…ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ก็ใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้ มีแต่ต้องขยัน หาวิธีที่ทำให้เชื้อเพลิงเกิดใหม่ เชื้อเพลิงที่เรียกว่าน้ำมันนั้นมันจะหมด ภายในไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปีก็หมด ถ้าไม่ได้ทำเชื้อเพลิงทดแทน เราก็เดือดร้อน…” พระราชดำรัสเมื่อปี พ.ศ. 2548
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X