เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 บมจ.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 จำนวน 2.1 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 46%QoQ และ 1%YoY) เป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่สูงกว่า Consensus คาดอยู่ 10% ขาดทุนจากการขายรถยึดที่มากกว่าคาด ถูกชดเชยด้วยกำไรที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์รอการขาย
รายการสำคัญในผลประกอบการ 1Q66 มีดังนี้
- คุณภาพสินทรัพย์: NPL เพิ่มขึ้น 5%QoQ โดยส่วนใหญ่เกิดจากสินเชื่อเช่าซื้อ Credit Cost ที่รวมขาดทุนจากการขายรถยึด ลดลง 64 bps QoQ สู่ 2.32% (เพิ่มขึ้น 66 bps YoY) จากปัจจัยฤดูกาล พร้อมกับขาดทุนจากการขายรถยึดที่มากกว่าคาด (เพิ่มขึ้น 70%QoQ) LLR Coverage ลดลงจาก 153% ณ 4Q65 สู่ 151%
InnovestX Research ปรับประมาณการ Credit Cost ปี 2566 เพิ่มขึ้น 6 bps สู่ 2.21% เนื่องจากปรับประมาณการขาดทุนจากการขายรถยึดเพิ่มขึ้น 33% สู่ 4 พันล้านบาท เทียบกับ 1.1 พันล้านบาทใน 1Q66 และ 1.54 พันล้านบาทในปี 2565
- การเติบโตของสินเชื่อ: เพิ่มขึ้น 3%QoQ และ 17%YoY การเติบโตของสินเชื่อได้แรงหนุนจากสินเชื่อทุกกลุ่ม: สินเชื่อรายย่อย (เพิ่มขึ้น 3%QoQ และ 20%YoY) สินเชื่อบรรษัท (เพิ่มขึ้น 6%QoQ และ 12%YoY) และสินเชื่อ SME (เพิ่มขึ้น 1%QoQ และ 10%)
- NIM: ลดลง 34 bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 37 bps QoQ (ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่มขึ้น 23 bps สู่อัตราปกติที่ 0.46%) ขณะที่ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง 1 bps QoQ
- Non-NII: ลดลง 34%QoQ (ลดลง 20%YoY) หลักๆ เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ (ลดลง 18%QoQ และ 14%YoY) และรายได้อื่น (ลดลง 93%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 52%YoY) ที่ลดลง
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: ลดลง 480 bps QoQ (ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวน 708 ล้านบาทจากกรณีหุ้น MORE เหมือนในไตรมาสก่อนหน้า) เพิ่มขึ้น 120 bps YoY สู่ 39.78% (รายได้ลดลง)
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (24 เมษายน) เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น KKP ปรับลดลง 1.15%DoD อยู่ที่ระดับ 64.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.02%DoD อยู่ที่ระดับ 1,558.12 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลดลง 4% หลักๆ เกิดจากขาดทุนจากการขายรถยึด โดยคาดว่ากำไรปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 4% โดยเกิดจากสินเชื่อที่เติบโต 13% NIM ที่ลดลง 12 bps Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น 27 bps Non-NII ที่ลดลง 2% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวน 708 ล้านบาทจากกรณีหุ้น MORE เกิดขึ้นอีก
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 75 บาทต่อหุ้น (1 เท่าของประมาณการ BVPS ปี 2566) เพื่อสะท้อนขาดทุนจากการขายรถยึดที่มากกว่าคาด
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
- การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง
- ผลกระทบจาก FinTech
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 12 บจ. แห่ Spin-Off บริษัทลูก ผลักดันให้ระดมทุนผ่านการ IPO และเข้าตลาดหุ้นปี 66
- ผ่าโรดแมป ‘จีเอเบิล’ กับการพุ่งทะยานสู่ผู้นำด้าน Tech Enabler พร้อมเตรียม IPO ภายในปี 2565 และการมุ่งพิชิตรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี
- 10 เรื่องต้องรู้ของหุ้น IPO ‘มิลเลนเนียม กรุ๊ป’ ผู้นำเข้าและจำหน่าย ‘รถ-เรือหรู’ รายเดียวในตลาดหุ้นไทย