เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) รายงานกำไรสุทธิ 1Q67 ที่ 417 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 75%YoY และ 95%QoQ) โดยได้แรงหนุนจากการบันทึกรายการพิเศษทางบัญชีจำนวน 129 ล้านบาท คือผลต่างของสินทรัพย์สิทธิการใช้และหนี้สินตามสัญญาเช่าจากการเปลี่ยนแปลงสัญญาเช่าจากธุรกรรมการซื้อสินทรัพย์จาก ERWPF หากหักรายการนี้ออกไปพบว่า ERW มีกำไรปกติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และ 24% เมื่อเทียบ QoQ จาก RevPAR ที่แข็งแกร่ง
สำหรับรายการที่สำคัญใน 1Q67 มีดังนี้
- กลุ่มโรงแรมระดับ 3-5 ดาว (77% ของรายได้) RevPAR เติบโต 11%YoY และ 7%QoQ หลักๆ ได้แรงหนุนจาก ARR ที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้น 11%YoY และ 5%QoQ) ในขณะที่อัตราการเข้าพักยังอยู่ในระดับสูงที่ 84% (ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้นจาก 83% ใน 4Q66) เมื่อแยกตามกลุ่ม โรงแรมชั้นประหยัด 3 ดาวรายงาน RevPAR เติบโต YoY แข็งแกร่งที่สุดที่ 19% ตามด้วยโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ 12% และโรงแรมระดับกลาง 4 ดาวที่ 8%
- โรงแรม HOP INN ใหม่ 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นได้ดีด้วยอัตราการเข้าพักที่ 48% ใน 1Q67 และ ARR ที่ 2,919 บาทต่อห้อง ERW เปิดเผยว่าโรงแรมกลุ่มนี้มีรายได้ 37 ล้านบาท และ EBITDA ที่ 7 ล้านบาท
และ 3. เนื่องจาก RevPAR ได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากปัจจัยด้านราคา คือ ARR EBITDA Margin จึงแข็งแกร่งที่ 35.7% ใน 1Q67 เพิ่มขึ้นจาก 32.3% ใน 1Q66 และ 33.1% ใน 4Q66
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ราคาหุ้น ERW ปรับขึ้น 0.40% สู่ระดับ 4.98 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.13% สู่ระดับ 1,378.36 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติของ ERW มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจะเติบโต YoY อย่างต่อเนื่องใน 2Q67 (แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล) อัตราการเข้าพักโดยรวมในเดือนเมษายน-พฤษภาคมอยู่ที่ 79-80% (เทียบกับ 80% ใน 2Q66) และ ARR ยังคงเพิ่มขึ้น YoY แต่ในอัตราที่น้อยกว่า 1Q67 ในขณะที่เห็นสัญญาณบวกจากการดำเนินงานโรงแรมในประเทศญี่ปุ่นที่แข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 60-70% และ ARR อยู่ที่ 3,000-3,700 บาทต่อห้อง
ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการกำไรปกติของ ERW เพิ่มขึ้น 7% ในปี 2567 และ 9% ในปี 2568 เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 1Q67 ที่ดีกว่าคาด โดยคาดว่ากำไรปกติของ ERW จะเติบโต 17%YoY สู่ 873 ล้านบาทในปี 2567 และปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้นสู่ 6.20 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับวิธี DCF (WACC ที่ 6.2% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%) เพื่อให้สะท้อนแนวโน้มการเติบโตระยะยาวได้ดีขึ้น โดยยังคงคำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือนสำหรับ ERW ไว้ที่ Outperform
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทาง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยง ESG คือการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ (E)