×

BBL – 1Q66 กำไรตาม INVX คาด แต่ดีกว่า Consensus คาด

21.04.2023
  • LOADING...
ธนาคารกรุงเทพ

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2566 บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 จำนวน 1.01 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34%QoQ และ 42%YoY) เป็นไปตามที่คาด แต่ดีกว่า Consensus คาดอยู่ 17% โดยสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ทรงตัว พร้อมกับ Credit Cost ที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่ม LLR Coverage สินเชื่อที่หดตัวลง QoQ NIM ที่ลดลง Non-NII ที่สูงขึ้น และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง

 

รายการสำคัญในผลประกอบการ 1Q66 มีดังนี้

 

  1. คุณภาพสินทรัพย์: NPL เพิ่มขึ้น 1%QoQ Credit Cost เพิ่มขึ้น 12 bps QoQ สู่ 1.27% ใน 1Q66 สูงกว่าคาด และสูงกว่าประมาณการปี 2566 ที่ 1.15% ซึ่งเชื่อว่า BBL เร่งตั้งสำรองเพิ่มใน 1Q66 และจะตั้งสำรองลดลงในช่วงหลังของปี LLR Coverage เพิ่มขึ้นจาก 250% ณ 4Q65 สู่ 265% ณ 1Q66

 

  1. การเติบโตของสินเชื่อ: ลดลง 2%QoQ (จากปัจจัยฤดูกาล), เพิ่มขึ้น 2%YoY 

 

  1. NIM: ต่ำกว่าคาด โดยลดลง 6 bps QoQ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น 32 bps QoQ (ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่มขึ้น 23 bps) มากกว่าผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้น 21 bps QoQ 

 

  1. Non-NII: เพิ่มขึ้น 59% QoQ (เพิ่มขึ้น 9%YoY) หลักๆ เกิดจากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL หลังจากขาดทุนใน 4Q65 รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 2%QoQ (เพิ่มขึ้น 2%YoY) 

 

  1. อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: ลดลง 530 bps QoQ (จากปัจจัยฤดูกาล) และ 250 bps YoY (รายได้เติบโตมากกว่า OpEx) 

 

กระทบอย่างไร:

วันนี้ (21 เมษายน) ณ เวลา 12.30 น. ราคาหุ้น BBL ปรับเพิ่มขึ้น 0.95%DoD สู่ระดับ 160.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.26%DoD อยู่ที่ระดับ 1,561.06 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:

แนวโน้มกำไร 2Q66 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ (ตั้งสำรองลดลง, NII สูงขึ้น) และ YoY (NII สูงขึ้น) ส่วนปี 2566 คาดว่ากำไรจะเติบโต 50% โดยได้รับการสนับสนุนจาก Credit Cost ที่ลดลง 14 bps สินเชื่อที่เติบโต 5% NIM ที่ปรับตัวดีขึ้น 43 bps Non-NII ในระดับทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง

 

กลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ BBL และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 197 บาทต่อหุ้น (0.7 เท่าของประมาณการ BVPS ปี 2566 หรือ PE ปี 2566 ที่ 8.55 เท่า) เนื่องจากคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มธนาคารที่ 50%

 

ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ 

 

  1. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
  2. การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง
  3. ผลกระทบจาก FinTech

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising