เกิดอะไรขึ้น:
ในปี FY2566 AEONTS ตั้งเป้าสินเชื่อบัตรเครดิตเติบโต 5% และสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโต 8-10% รวมถึงวางแผนเปิดตัวบริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์มูลค่า 1 พันล้านบาท ดังนั้นจึงคาดว่า การเติบโตของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นจาก 3% ในปี FY2565 สู่ 6% ในปี FY2566 นอกจากนี้ AEONTS ยังจะเปิดให้บริการสินเชื่อดิจิทัลที่บิ๊กซีด้วยวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20,000 บาทต่อบัญชี โดยใช้ข้อมูลทางเลือกลูกค้าของบิ๊กซี
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจใหม่คือ AMC ปัจจุบัน AEONTS กำลังดำเนินการจัดตั้ง AMC เพื่อบริหาร NPL ที่ไม่มีหลักประกันที่ซื้อมาจากสถาบันการเงินอื่นๆ โดยในระยะแรกบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันรายเล็ก ส่วนในระยะยาวบริษัทวางแผนขยายไปสู่สินเชื่อที่มีหลักประกัน AEONTS ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจ AMC ไว้ที่ 400 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ด้วยอัตรากำไร 10% ซึ่งหมายความว่า สัดส่วนกำไรจากธุรกิจนี้จะอยู่ในระดับต่ำมาก
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ AEONTS จะได้รับประโยชน์จากข้อเสนอของรัฐบาลใหม่ ในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน เนื่องจากลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ใช้แรงงาน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์และการเติบโตของสินเชื่อ (สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นหลัก)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AEONTS ปรับเพิ่มขึ้น 5.03%MoM สู่ระดับ 198.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 0.31%MoM อยู่ที่ระดับ 1,528.54 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี FY2566:
InnovestX Research ปรับประมาณการ Credit Cost ปี FY2566 ลดลง 30 bps เพื่อสะท้อนเป้าหมายของ AEONTS ที่ตั้งเป้าตั้งสำรองลดลงจาก 7.3 พันล้านบาท (Credit Cost 7.85%) ในปี FY2565 สู่ระดับต่ำกว่า 7 พันล้านบาท ในปี FY2566 (คิดเป็น Credit Cost ที่ 7.25%) หลังจากตั้งเป้าสำรองจำนวนมากในปี FY2565 บริษัทพบว่า NPL ไหลเข้าลดน้อยลงในเดือนมีนาคม-เมษายน
โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดการณ์ค่าใช้จ่ายตั้งเป้าสำรองตามหลักความระมัดระวังที่ 7.12 พันล้านบาท ในปี FY2566 โดยคาดว่า Credit Cost จะลดลง 50 bps สู่ 7.35%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจะส่งผลทำให้ NIM หดตัวลงในปี FY2566 AEONTS คาดว่า ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นอีกจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ เนื่องจากบริษัทได้ล็อกต้นทุนทางการเงินด้วยการออกหุ้นกู้ระยะยาวไว้ค่อนข้างมากแล้ว จึงคาดว่า NIM จะลดลง 25 bps ในปี FY2566 โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 40 bps
สำหรับแนวโน้มกำไร InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี FY2566 และปี FY2567 เพิ่มขึ้นปีละ 5% จากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลงเป็นหลัก ในปี FY2566 โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 12% โดยเกิดจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 6% และ NIM ที่ลดลง 25 bps เนื่องจากต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น หนี้สูญรับคืนที่เติบโต 15% และ Credit Cost ที่ลดลง 50 bps สำหรับ 1QFY66 คาดว่า กำไรจะลดลง 13%YoY (ตั้งสำรองมากขึ้น) แต่จะเพิ่มขึ้น 39%QoQ (ตั้งสำรองลดลง) สู่ 967 ล้านบาท
โดยกลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Neutral สำหรับ AEONTS แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 204 บาท สู่ 211 บาทต่อหุ้น (P/BV ปี FY2566 ที่ 2.05 เท่า) หลังจากปรับประมาณการกำไรปี FY2566 เพิ่มขึ้นจากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลงเป็นหลัก
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ 1. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่อาจชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2. ความเสี่ยงด้าน NIM จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และ 3. ความเสี่ยงด้านกฎหมายจากการที่ ธปท. ตั้งเป้าให้สถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เพื่อรับมือกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง