หลังเป็นข่าวมาพักใหญ่ๆ ล่าสุด มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เป็นผู้ออกมายืนยันด้วยตนเองว่า Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook กำลังเลิกจ้างพนักงาน 13% หรือมากกว่า 11,000 คน จากตัวเลขพนักงานรวม ณ สิ้นเดือนกันยายนซึ่งมีอยู่ที่ 87,314 คน
“วันนี้ผมจะมาแชร์การเปลี่ยนแปลงที่ยากที่สุดที่เราเคยทำในประวัติศาสตร์ของ Meta” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว พร้อมเสริมว่า กำลังดำเนินการเพิ่มเติมอีกหลายขั้นตอนเพื่อเป็นบริษัทที่มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดการใช้จ่ายตามดุลยพินิจ และขยายเวลาการหยุดจ้างงานไปจนถึงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ผู้นำที่เลวร้าย! ผู้เชี่ยวชาญฮาร์วาร์ดวิเคราะห์ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คือต้นเหตุที่ทำให้ Facebook หลงทาง
- Facebook เสี่ยงเป็น ‘เทคโนโลยีไดโนเสาร์’ ตัวถัดไป หลังหลุดตำแหน่ง 20 บริษัทใหญ่สุดของโลก
- ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ยอมรับความผิดพลาดที่คิดว่า Facebook กำลังเติบโตอย่างสดใส
ในจดหมายฉบับเต็ม ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นของโควิด โลกออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนคาดการณ์ว่านี่จะเป็นการเร่งอย่างถาวรที่จะดำเนินต่อไปแม้หลังจากการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง
สิ่งนี้ “ทำให้ผมตัดสินใจที่จะเพิ่มการลงทุนอย่างมาก น่าเสียดายที่การประเมินไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ อีคอมเมิร์ซไม่เพียงลดลง แต่เศรษฐกิจมหภาคที่ตกต่ำ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และโฆษณาที่ลดลงนั้นต่ำกว่าที่คิดไว้มาก
“ผมเข้าใจผิดและผมขอรับผิดชอบในเรื่องนี้” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “ผมรู้ว่ามันยากสำหรับทุกคน และผมเสียใจเป็นพิเศษต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ”
พนักงานที่ได้รับผลกระทบจะได้รับค่าจ้าง 16 สัปดาห์ บวกอีก 2 สัปดาห์สำหรับทุกๆ 1 ปีที่ทำงาน และ Meta จะครอบคลุมการประกันสุขภาพเป็นเวลา 6 เดือน
หลายปีที่ผ่านมา Meta เป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพล โดยเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อ Facebook รวบรวมผู้ใช้และซื้อบริษัทต่างๆ เช่น Instagram และ WhatsApp ซึ่ง ณ จุดหนึ่งของปีที่แล้ว Meta มีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
แต่ปีนี้ Meta ประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจใหม่อย่าง Metaverse ที่ได้ล้างผลาญเงินลงทุนไปแล้วกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือสูงถึง 7 แสนล้านบาท แถมยังต้องใช้เวลาอีกนับ 10 ปี กว่าจะออกดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวได้
หุ้นของ Meta ลดลงกว่า 20% ในปีนี้ หลังนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไตรมาสล่าสุดได้เพิ่ม 19% ในขณะที่รายได้รวมลดลง 4% เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และกำไรจากการดำเนินงานยังลดลง 46% จากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5.66 พันล้านดอลลาร์
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: