ภาพของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ยกมือขึ้นมาป้องตาเพื่อส่องขึ้นไปบนอัฒจันทร์หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี เป็นภาพที่แม้จะไม่ใช่สาวกอสูรแดง แต่ก็ปฏิเสธหัวใจไม่ไหวว่ามันเป็นภาพที่สวยงามทีเดียวครับ
ไม่แน่ใจนักว่าผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์กำลังมองหาใคร แต่ดูเหมือนเขาจะพบคนที่ต้องการและได้ปลดปล่อยความรู้สึกยินดีออกมาให้สัมผัส
หรือหากเขาไม่ได้มองหาใครเป็นพิเศษ แค่อยากจะมองภาพบรรยากาศที่งดงามในโรงละครแห่งความฝันให้เต็มตาสักครั้ง ผมก็คิดว่าเขาได้เห็นภาพที่เขาต้องการเช่นกัน
นานมากแล้วครับที่ผมไม่รู้สึกว่าโอลด์แทรฟฟอร์ดมีบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศของสนามที่มีชีวิต (และเป็นเหตุผลที่แสนเศร้าเหลือเกินหากจำเป็นจะต้องแข่งขันกันโดยไม่มีแฟนฟุตบอลในสนาม) เหมือนที่ผมไม่เคยได้ยินเสียงของเหล่ากองทัพปีศาจแดงดังกระหึ่มแบบนี้มานานจนจำไม่ได้
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะแค่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดล้ม ‘เพื่อนบ้านที่ชอบเสียงดัง’ อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ลงได้ครับ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเล่นงานคู่ปรับร่วมเมืองได้ในฤดูกาลนี้ทีมของโซลชาร์ เอาชนะทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้ถึง 3 ครั้ง เป็นคนที่ 2 ที่ทำได้ต่อจาก เจอร์เกน คล็อปป์ ที่นำลิเวอร์พูลจัดการซิตี้ได้แบบ ‘แฮตทริก’ เมื่อฤดูกาล 2017-18
แต่มันเกิดขึ้นเพราะหลังการรอคอยอย่างยาวนาน นักเตะยูไนเต็ดก็ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่แฟนบอลเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน
สิ่งนั้นคือหัวใจนักสู้ การเล่นที่สง่างาม และการที่พวกเขาเล่นได้สมกับความยิ่งใหญ่ของตราสโมสรบนหน้าอก
รอย คีน อาจจะเคยเปรียบเปรยแฟนบอลในโอลด์แทรฟฟอร์ดเอาไว้อย่างเจ็บแสบว่ามาเพียงกินแซนด์วิชกุ้งบนอัฒจันทร์ เช่นกันกับที่ใครต่อใครก็เคยวิจารณ์ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ความจริงพวกเขาไม่ได้เป็นกองเชียร์ที่ไร้หัวใจขนาดนั้น
พวกเขาแค่รอ รอที่จะได้เห็นทีมเล่นได้ในแบบที่พวกเขาเฝ้ารอ
และเมื่อพวกเขาได้พบกับสิ่งที่รอคอย หัวใจที่เหน็บหนาวมายาวนานก็ได้รับการจุดไฟขึ้นอีกครั้ง
ตลอด 90 นาทีที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อคืนที่ผ่านมา (8 มีนาคม) เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมรู้สึกว่ายูไนเต็ดเป็นทีมที่ดีกว่าอย่างสมบูรณ์
พวกเขาเอาชนะซิตี้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้ทั้งในเรื่องของแท็กติกการเล่น เรื่องเทคนิคของผู้เล่น และสำคัญที่สุดคือหัวจิตหัวใจ
ตัวเลขการครองบอลอาจเป็นรอง แต่ก็เป็นสิ่งที่โซลชาร์วางแผนเอาไว้อย่างตั้งใจอยู่แล้ว
ตัวเลขโอกาสในการทำประตูพวกเขาเหนือกว่า และตลอดทั้งเกมแทบไม่มีช่วงเวลาใดเลยที่จะทำให้รู้สึกว่าซิตี้เป็นทีมที่ดีกว่า
จริงอยู่ครับที่เป๊ปจัดทีมเหมือนไม่เต็มร้อย และการขาดคีย์แมนอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ไปทำให้ประสิทธิภาพในการเล่นของพวกเขาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าต่อให้จอมทัพชาวเบลเยียมได้ลงสนามมาจริงๆ เขาจะแก้ไขอะไรไหวหรือไม่
เพราะซิตี้ทั้งทีม ‘ไม่สู้’ เอาเสียเลย และคนที่สู้ที่สุดของทีมอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร เองก็ไม่อยู่ในสภาพเต็มร้อยมากพอที่จะยืนหยัดช่วยทีมไหว
ในทางตรงกันข้าม แม้มองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้ถึงความเป็นนักสู้ของฝั่งนักเตะในชุดสีแดง
ถึงจะมีการยกย่อง บรูโน แฟร์นันด์ส กันอย่างมากในฐานะที่เป็นคนจุดประกายความหวังของทีมด้วยการเปิดฟรีคิกด้วยเซนส์ของนักเตะระดับโลกให้ อองโตนี มาร์กซิยาล ฉวยโอกาสวิ่งเข้าเขตโทษก่อนคนอื่น และยิงตามน้ำด้วยเซนส์บอลที่เหนือชั้นในจังหวะแรกผ่านมือของเอแดร์สันเข้าไป
แน่นอนครับว่าการมาของเขาช่วยเปลี่ยนแปลงทีมอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เรื่องของการเล่นในสนาม ไปจนถึงบรรยากาศภายในทีมที่ถูกสลายอากาศที่เป็นพิษเพราะนักเตะคนหนึ่งที่ไม่มีหัวใจจะรับใช้สโมสรอีก และทีมพร้อมแล้วที่จะ ‘ก้าวข้าม’ นักเตะคนนั้นไป
แต่ยังมีอีกหลายคนครับที่เล่นได้จับใจ ไม่ว่าจะเป็น ลุค ชอว์ ที่ตอนนี้เปลี่ยนจากนักเตะหมดสภาพเป็นหนึ่งในนักเตะแนวรับที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้ และทำได้ดีหมดไม่ว่าจะให้เล่นในบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทางฝั่งซ้ายหรือแบ็กซ้าย, อารอน วาน บิสซากา (วิง) แบ็กขวาที่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษบอกว่าไม่น่าจะเป็นแค่ ‘วัน-บิสซากา’ แต่น่าจะเป็น ‘ทู-บิสซากา’ เพราะอยู่ทุกที่, เนมันยา มาติช ที่กลับมาเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดของอังกฤษอีกครั้ง
แม้กระทั่งไอ้หนุ่มซินตึ๊ง ดาเนียล เจมส์ คนที่ทักษะและพรสวรรค์อาจไม่เท่าคนอื่น แต่ความพยายามและหัวใจของเขามันใหญ่กว่าใคร
นักเตะเหล่านี้และคนอื่นๆ ในทีมยูไนเต็ดไม่ได้เล่นแค่เต็มร้อย แต่พวกเขาเล่นเกินกว่านั้นไปมาก และเหนืออื่นใดคือการเล่นอย่างสุขุมไม่มีอาการร้อนรนให้เห็น ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ
วันนี้พวกเขา ‘เชื่อ’ ว่าซิตี้อยู่ในมือพวกเขาแล้ว และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
การกลับมาอยู่ในจุดนี้ของยูไนเต็ด มันง่ายครับที่เราจะบอกว่าเป็นเพราะการมาของนักเตะอย่างบรูโน (หรือแม้แต่ โอเดียน อิกาโล ที่ไม่ได้เติมแค่ทางเลือกในแนวรุก แต่เติมความรู้สึกดีๆ ของคนที่มีใจอยากจะเล่นให้สโมสร) แต่ให้ถูกต้องแล้วผมคิดว่าเราต้องให้เครดิตกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
แม้กระทั่ง เอ็ด วูดเวิร์ด ผู้บริหารที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ถึงจะไม่เก่งในเชิงการบริหารทางลูกหนังมากนัก แต่อย่างน้อยก็เพราะเขาที่เป็นคน ‘ปิดดีล’ คว้าแฟร์นันด์ส และเป็นคนเคาะดีลของอิกาโล และเหนืออื่นใดคือการยืนหยัดเคียงข้างโซลชาร์ พร้อมจะให้โอกาสและเวลาในการทำงานต่อไป
เพราะเขาเชื่อว่านี่คือช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ว่าจะเป็นโคตรทีมขนาดไหนก็ต้องเจอ มันต้องเจ็บปวด มันต้องรวดร้าว มันต้องเต็มไปด้วยน้ำตาและความอัดอั้นตันใจอยู่แล้ว
โซลชาร์เองก็เชื่อในแบบเดียวกัน และเขาย้ำเรื่องพวกนี้มาตลอดพร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าใต้รอยยิ้มแหยๆ นั้นความรู้สึกของเขาเป็นอย่างไร
เขาเองก็เรียนรู้ไปพร้อมกับทีม และค้นพบ ‘คำตอบ’ ระหว่างการเดินทางมากขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนในเกมเอฟเอคัพเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในการไปเยือนดาร์บี เคาน์ตี ซึ่งเขาตัดสินใจขอเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการเดินทางของทีมที่ปกติจะเดินไปหนึ่งวันก่อนการแข่งขันและพักในโรงแรมในเมืองนั้นๆ แล้วจึงค่อยนั่งรถบัสเดินทางไปสนามแข่ง (ซึ่งหลายๆ ครั้งก็มักจะเจอปัญหารถติดก่อนเข้าสนาม)
คราวนี้โซลชาร์ขอปรับเล็กน้อยด้วยการให้ทีมเดินทางในวันแข่งขันเลย ด้วยเหตุผล 2 ประการ
อย่างแรกคือการให้ทีมได้มีเวลาซ้อมแท็กติกการเล่นเพิ่มเป็น 2 วันเต็มๆ ซึ่งเป็นผลจากการที่สตาฟฟ์ของทีมรู้สึกได้ว่าเวลานี้นักเตะในทีมมีการตอบสนองต่อการเรียนรู้เรื่องแท็กติกและสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสนาม
ด้วยเหตุนี้โซลชาจึงขอเสี่ยงด้วยการขอเวลาให้ทีมได้ซ้อมรูปแบบการเข้าทำในเกมรุกมากขึ้น ซึ่งไม่ได้หวังผลแค่ในเกมกับดาร์บี (ซึ่งพวกเขาชนะขาดลอย 3-0) แต่มองมาถึงเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บีด้วย (และก็ได้ผลอีก)
อีกเหตุผลคือการที่อยากให้นักเตะของทีมได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เพราะในรอบ 18 วันพวกเขาลงเล่นถึง 6 นัด เดินทางไปทั่วตั้งแต่ลอนดอนจนถีบบรูกส์ในเบลเยียม ดังนั้นการที่ให้นักเตะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอีก 12 ชั่วโมงหรือมากกว่านิดหน่อยจึงเป็นช่วงเวลาที่มีค่าและมีความหมาย
โดยเฉพาะนักเตะอย่าง ลุค ชอว์ ซึ่งเป็นพ่อคนครั้งแรกได้ไม่นาน เรื่องนี้มีความหมายอย่างมากต่อหัวใจ
นอกเหนือจากเรื่องนี้ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่โซลชาร์รวมถึงทีมได้เรียนรู้มาด้วยกันตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาครับ
ความเจ็บปวดระหว่างทางที่ผ่านมามีส่วนในการช่วยหล่อหลอมพวกเขาให้กลายเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน
เหมือนเหล็กที่ทั้งโดนเผาด้วยความร้อนและโดนทุบอีกนับไม่ถ้วน สุดท้ายมันจะกลายเป็นดาบดีที่แข็งแกร่งและแหลมคม
แน่นอนว่ายังมีสิ่งที่ทีมชุดนี้รวมถึงโซลชาร์และตัวของวูดเวิร์ดต้องพิสูจน์อีกมากครับ
ระยะห่างระหว่างพวกเขากับลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาลที่ผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายมาไม่ต่างกัน อยู่ที่ 37 แต้มในปัจจุบัน มันไกลกว่าระยะทางบนถนนสาย M62 ที่เชื่อมระหว่างสองเมืองมาก
กับซิตี้เอง วันนี้อาจจะไม่ใช่วันสีฟ้าก็จริง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปีนี้เป็นปีที่แย่ของพวกเขา และดูเหมือนสภาพจิตใจของทีมนั้นแตกกระเจิงไปหมดตั้งนานแล้ว แต่ถ้าเป็นวันที่พร้อมจริงๆ ทีมของเป๊ปก็ยังอยู่ในระดับที่เหนือกว่า
อย่างไรก็ดีมันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นภายในใจ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูเหมือนจะค้นพบคำตอบบางอย่าง แต่มันจะใช่คำตอบที่มองหาจริงๆ หรือไม่ ขอให้วันเวลาทำหน้าที่ของมันเอง
อย่างน้อยที่สุดวันนี้แมนเชสเตอร์เป็นสีแดง
และไม่ใช่เพียงเพราะว่ามันเป็นวันอาทิตย์ด้วย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า