×

ปรับฐานปี 2025 เมื่อหุ้น 7 นางฟ้า เปลี่ยนเป็น 7 ผู้ประสบภัย

20.03.2025
  • LOADING...
กราฟแสดงการ ปรับฐานของหุ้น Magnificent 7 จากระดับสูงสุด โดย Tesla ร่วงแรงที่สุดถึง 53% ขณะที่ Microsoft ลดลงน้อยที่สุดที่ 18%

นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Howard Marks กล่าวไว้ว่า “การปรับฐานก็เหมือนฤดูหนาว นักลงทุนอาจไม่สบาย แต่มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็น”

 

ปี 2025 เป็นปีที่ฤดูหนาวของตลาดมาเร็วกว่าที่คิด เมื่อเดือนมีนาคมกลายเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐาน (Correction) ครั้งแรก ตั้งแต่ Donald Trump เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบที่สอง

 

การปรับฐานครั้งนี้เป็นการปรับตัวลง 10% เร็วที่สุดอันดับ 11 นับตั้งแต่ปี 1928 มองโลกในแง่ดีอาจหมายความว่าเหตุการณ์นี้เริ่มเร็วและคงจบเร็ว แต่ถ้ามองโลกในแง่ร้ายอาจตีความได้ว่าการปรับตัวลงของตลาดที่รวดเร็วเกิดจากมหันตภัยที่ถาโถมเข้าใส่ตลาด

 

นักลงทุนไทยจึงต้องประเมินให้ออกว่าเหตุผลของการปรับฐานครั้งนี้คืออะไร และโอกาสของการลงทุนอยู่ที่ไหน

 

ในมุมมองของผม ประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ Correction ครั้งนี้เกิดจากการกลับตัวของ Profit, Policy และ Position พร้อมกัน

 

ดัชนี S&P 500 ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 6144 จุดในวันที่ 19 มีนาคม หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวลงเมื่อ Walmart บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ส่งสัญญาณว่ายอดขายและกำไรจะเติบโตช้าลงในปี 2025

 

ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงรายวันของนโยบายภาษีการค้าที่ Trump ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นภาษีการค้ากับแคนาดา 25% ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวการเจรจาและคาดว่าจะเลื่อนการเก็บภาษีออกไปก่อน

 

ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกช่วงนั้นแทบทุกคนมีหุ้นสหรัฐฯ อยู่เต็มพอร์ต เมื่อ Profit และ Policy พลิกกลับมาเป็นแรงกดดัน การปรับฐานช่วง Peak Position จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างที่เห็น

 

ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาคือการที่ Magnificent 7 กลายเป็นผู้ประสบภัย

 

นับจากระดับราคาสูงสุด หุ้น Magnificent 7 ปรับตัวลงไปแล้วถึง 21%

 

แย่ที่สุดในกลุ่มคือ Tesla ร่วงลงถึง 53% แม้หุ้นที่ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดน้อยที่สุดอย่าง Microsoft ก็ยังติดลบถึง 18%

 

เหตุผลสำคัญมากจากระดับ Valuation โดยรวมของกลุ่มที่จุดพีค วัดโดย Long-Term P/E สูงถึง 94x เป็นรองเพียงช่วงพีคของ Covid Lockdown (110x) ขณะที่รายงานกำไรของหุ้นที่เติบโตสูงที่สุดอย่าง NVIDIA ไม่ได้กลับไปเร่งตัวขึ้น

 

พร้อมกับจังหวะการเปิดตัวของ DeepSeek AI จากจีน ที่สร้างคำถามว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ กำลังลงทุนมากเกินไปหรือไม่ ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของ AI อาจมีบริษัทจีนเข้ามาชิงส่วนแบ่ง ทำให้มุมมองของตลาดกลับทิศในทันที

 

มาถึงตรงนี้ นักลงทุนคงเริ่มเห็นภาพแล้วว่า Correction ครั้งนี้มีทั้งจากปัจจัยพื้นฐานและระดับราคา

 

คำถามสำคัญต่อจากนี้คือระดับดัชนี S&P 500 เป้าหมายควรอยู่ที่จุดไหน และอะไรจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดกลับเป็นขาขึ้น

 

กรณีแรก พื้นฐานไม่เปลี่ยน เปลี่ยนเพียง Valuation ที่เหมาะสม

 

สมมติฐานสำหรับกรณีนี้คือการเก็บภาษีการค้าไม่เกิดขึ้นจริง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ชะลอตัว ส่งผลให้ระดับกำไรของ S&P 500 ในปีนี้ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 270 ดอลลาร์ แต่ระดับ P/E เป้าหมายลดลงไปเท่ากับค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 22x จะได้ระดับเป้าหมายใหม่ที่ 5,940 จุด มี Upside จากปัจจุบันราว 5%

 

กรณีที่สอง เป้าหมายดัชนี 5,600 จุด จากพื้นฐานและระดับราคาที่ปรับตัวลงทั้งคู่

 

จากการรวบรวมผลการวิเคราะห์นโยบายการค้าของ Trump จากนักกลยุทธ์การลงทุนฝั่งสหรัฐฯ พบว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก 10% จะกดดันให้ EPS ของตลาดลดลงราว 2-5% ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 1% จะกดดันให้ EPS ของตลาดลดลงอีกราว 2-3% รวมกันจะส่งผลให้ระดับกำไรใน 12 เดือนข้างหน้าของ S&P 500 ลดลงเหลือ 254 ดอลลาร์ คิดเป็นการเติบโตราว 3%จากปีก่อน เมื่อคำนวณร่วมกับ P/E ที่ 22x จะได้ระดับเป้าหมายราว 5,600 จุด ใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน

 

ส่วนในกรณีเลวร้ายคือ Correction นำไปสู่ Bear Market

 

แม้ในอดีต Correction ส่วนมากจะมีผลตอบแทนติดลบเพียง 10-20% ถ้าไม่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่ในอดีต 59 Corrections ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1930 มีถึง 44% ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า

 

และ 17ครั้ง นำไปสู่ Bear Market ที่ดัชนีปรับตัวลงจากจุดสูงสุดมากกว่า 20% คิดเป็นดัชนีที่ระดับ 4,920 จุด

 

โดยสรุป ผมมองว่าการปรับฐานของตลาดครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากสองเรื่องคือ ระดับราคาเริ่มต้นที่สูงเกินไป ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มแย่ลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า

 

อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่าโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยยังไม่มาก และหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถกลับมาได้เมื่อระดับราคาเหมาะสม หรือนโยบายการค้ามีความชัดเจนครับ

 

ภาพ: Shutterstock AI

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising