×

ลิเวอร์พูลตัดใจจาก จูด เบลลิงแฮม การตัดสินใจที่เด็ดขาดหรือผิดพลาด?

12.04.2023
  • LOADING...
ลิเวอร์พูล จูด เบลลิงแฮม

HIGHLIGHTS

4 MIN READ
  • ลิเวอร์พูลไม่ต้องการจ่ายเงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับนักเตะแค่คนเดียว ซึ่งเชื่อว่าศึกชิงตัวครั้งนี้น่าจะต้องใช้เวลายาวนานตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ โดยที่ไม่มีใครมั่นใจได้ว่า สุดท้ายแล้วเบลลิงแฮมจะตัดสินใจเลือกย้ายมาอยู่ที่แอนฟิลด์จริงหรือไม่
  • ในฤดูร้อนนี้ลิเวอร์พูลจะเบนเป้าไปยังนักเตะที่ดูมี ‘ศักยภาพ’ และมี ‘โอกาส’ ที่จะคว้าตัวได้มากกว่า และแน่นอนว่าใช้เงินน้อยกว่า หรือพูดง่ายๆ คือกลับไปในแนวทางเดิมของทีม

ข่าวใหญ่ในช่วงดึกของคืนวันอังคาร ตามเวลาในประเทศอังกฤษ คือรายงานพิเศษจาก The Times ที่เปิดเผยเป็นที่แรกว่า ลิเวอร์พูลตัดสินใจที่จะถอนตัวจากการเข้าร่วมศึกชิง จูด เบลลิงแฮม ร่วมกับสโมสรอื่น ก่อนที่อีกหลายสำนักจะรายงานข่าวไปในทิศทางเดียวกัน

 

โดยตามรายงานระบุว่า แม้กองกลางดาวเด่นทีมชาติอังกฤษวัย 19 ปี จะเป็นนักเตะที่ทีมต้องการตัวมาอย่างยาวนาน และมีความพยายามที่จะตะล่อมทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านท่าทีต่างๆ ของคนในทีม ตั้งแต่ตัวของ เจอร์เกน คล็อปป์ ไปจนถึงกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เพื่อนซี้ในทีมชาติอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไปจนถึงตำนานที่เป็น ‘ไอดอล’ ของเบลลิงแฮมอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ยังแอบออกตัวมาช่วยเชียร์ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันคือสิ่งที่ทำให้ฝ่ายบริหารของสโมสรตัดสินใจที่จะล้มเลิกความพยายามครั้งนี้

 

ลิเวอร์พูลไม่ต้องการจ่ายเงินมากกว่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับนักเตะแค่คนเดียว ซึ่งเชื่อว่าศึกชิงตัวครั้งนี้น่าจะต้องใช้เวลายาวนานตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ โดยที่ไม่มีใครมั่นใจได้ว่า สุดท้ายแล้วเบลลิงแฮมจะตัดสินใจเลือกย้ายมาอยู่ที่แอนฟิลด์จริงหรือไม่

 

ลิเวอร์พูล จูด เบลลิงแฮม

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีโอกาสสูงมากที่จะพลาดการเข้าร่วมรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลหน้า ซึ่งหมายถึงแรงดึงดูดนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์จะลดลง เกี่ยวเนื่องต่อไปถึงเรื่องของเงินรายได้ที่จะลดลง 

 

และเหตุผลสำคัญที่สุดคือ การที่ลิเวอร์พูลมีความจำเป็นต้องเสริมกำลังในแดนกลางอย่างน้อย 2 ตำแหน่ง เนื่องจากจะมีนักฟุตบอลหมดสัญญากับสโมสรอย่าง นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน

 

ทั้งหมดนี้นำไปสู่การตัดสินใจที่จะ ‘หักอก’ ใครหลายคนตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบอย่างจริงจัง

 

จุดนี้เป็นสิ่งที่นำไปสู่การตั้งคำถามถึงฝ่ายยุทธศาสตร์ของสโมสร ที่ในช่วงหลายปีหลังทำผลงานได้แตกต่างจากในช่วงแรกที่คล็อปป์เข้ามาคุมทีม 

 

ในช่วงแรกนั้นลิเวอร์พูลได้รับการเติมนักเตะที่ตรงตามโจทย์ในการสร้างทีมให้กลายเป็นยอดทีม ด้วยการลงทุนนักฟุตบอลที่ดูมีศักยภาพจะสามารถพัฒนาการเล่นของตัวเองให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้เล่นระดับชั้นนำได้ เช่น ซาดิโอ มาเน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จินี ไวจ์นัลดุม หรือแม้แต่นักเตะอาวุโสอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ผ่านการซื้อ-ขายแบบฉลาดๆ Smart Buy, Smart Choice ซื้อถูก-ขายได้แพง

 

แนวทางดังกล่าวมาจาก ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการสโมสรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ รวมถึงทีมงานอย่าง เอียน เกรแฮม นักวิเคราะห์ข้อมูลที่กลายเป็นคนดังในหมู่แฟนบอลลิเวอร์พูล

 

แต่ในระยะหลังดูเหมือนการตัดสินใจในส่วนของงานด้านนี้จะมีเครื่องหมายคำถามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยไวจ์นัลดุม กองกลางที่เป็น ‘คีย์แมน’ แบกทีม ออกไป เพราะไม่ต้องการต่อสัญญาระยะยาวและให้ค่าตอบแทนสูงกับนักเตะที่อายุเกินกว่า 30 ปี (แต่มีข้อยกเว้นสำหรับเฮนเดอร์สันที่เป็นกัปตันทีม) แต่กลับซื้อ ติอาโก อัลกันตารา กองกลางเชิงสูงในวัย 29 ปีจากบาเยิร์น มิวนิก เข้ามาร่วมทีม ซึ่งแม้มิดฟิลด์ชาวสเปนจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของความสม่ำเสมอและอาการบาดเจ็บที่ตรงตามประวัติผู้ป่วยอยู่แล้ว

 

ปัญหาแบบเดียวกันเกิดขึ้นในกรณีของ ซาดิโอ มาเน เสาหลักในแนวรุกที่ค้ำยันทีมมาตลอด ไม่ได้รับสัญญาฉบับใหม่ตามที่ต้องการ จึงตัดสินใจขออำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว เพื่อย้ายไปบาเยิร์น มิวนิก ทำให้ลิเวอร์พูลต้องหานักเตะใหม่เข้ามาแทน และตัดสินใจทุ่มซื้อ ดาร์วิน นูนเญซ มาในสนนราคามหาศาล ซึ่งยังไม่สามารถทดแทนได้ 

 

นอกจากนี้ยังคว้า โคดี กักโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ มาร่วมทีมด้วยอีกคน แต่ก็ประสบปัญหาในแบบเดียวกันคือ ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัว โดยที่ในแนวรุกก่อนหน้านี้ยังมี ดิโอโก โชตา และ หลุยซ์ ดิอาซ อยู่ด้วย

 

ลิเวอร์พูล จูด เบลลิงแฮม

 

ในขณะที่แดนกลาง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยังเลือกเก็บนักเตะที่ถูกมองว่าไม่ควรจะเก็บไว้กับทีมนานขนาดนี้อย่างเกอิตา หรือ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เอาไว้นานเกินไป ซึ่งสุดท้ายทั้งสองก็ทำให้ทุกคนผิดหวังกับผลงานในสนาม แม้ว่าจะเป็นนักฟุตบอลที่นิสัยดีก็ตาม

 

จุดนี้เป็นหนึ่งในประเด็น ‘อ่อนไหว’ สำหรับลิเวอร์พูล โดยเฉพาะกับคล็อปป์ที่ถูกมองว่า ‘ยึดติด’ กับลูกทีมบางคนมากจนเกินไปหรือไม่ 

 

เรื่องนี้ต้องมองย้อนกลับไปถึงครั้งที่ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันคุมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์อยู่ หนึ่งใน ‘ปม’ ที่เป็นปัญหามาตลอดคือ การที่ทีมต้องถูกบาเยิร์น มิวนิก ดูดตัวนักเตะไปจากทีมทุกปี และปัญหานี้ยังเกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลในตอนที่บาร์เซโลนามากระชากตัวคูตินโญ นักเตะคนพิเศษที่คล็อปป์มั่นใจว่าจะสามารถเป็นตำนานของสโมสรที่แอนฟิลด์ได้

 

นั่นทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ‘สิ่งสำคัญอันดับแรก’ ของสโมสรคือการ ‘เก็บคนเก่า’ เอาไว้ให้ดีที่สุด 

 

ดังนั้นเมื่อมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่ลิเวอร์พูลไม่ซื้อผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางเข้ามาเลย คล็อปป์จะมีคำตอบว่า “ทีมมีนักเตะเพียงพอแล้ว” เสมอ และทำให้จุดนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ทีมตกอยู่ในสภาพแทบล่มสลายในฤดูกาลนี้

 

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ลิเวอร์พูลจะไม่สนใจในการเสริมทีมส่วนนี้ ในฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลพยายามที่จะคว้าตัว โอเลเรียง ชูอาเมนี กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส มาร่วมทีมให้ได้ เพียงแต่นักเตะต้องการที่จะย้ายไปเรอัล มาดริด เท่านั้น

 

ขณะที่รายของเบลลิงแฮมก็เป็นเป้าหมายในระยะยาวของทีมเช่นกันไม่ต่างจากชูอาเมนี ซึ่งก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลมีความเชื่อว่า พวกเขามี ‘ศักยภาพ’ มากพอที่จะสามารถกระโดดเข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงนักเตะในระดับเกรด A+ แบบนี้ได้

 

แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มองเห็นแล้วว่าต้องมีการ ‘ผ่าตัด’ ทีมขนานใหญ่ การทุ่มทุกอย่างไปที่เบลลิงแฮมคนเดียวจึงอาจไม่สมเหตุสมผลหรือเป็นสิ่งที่ควรทำนัก

 

ลิเวอร์พูล จูด เบลลิงแฮม

 

ดังนั้นในฤดูร้อนนี้ลิเวอร์พูลจะเบนเป้าไปยังนักเตะที่ดูมี ‘ศักยภาพ’ และมี ‘โอกาส’ ที่จะคว้าตัวได้มากกว่า และแน่นอนว่าใช้เงินน้อยกว่า โดยลิสต์ที่มีการคาดกันไว้คือ

 

  • อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (ไบรท์ตัน)
  • เมสัน เมาท์ (เชลซี)
  • คอเนอร์ กัลลาเกอร์ (เชลซี)
  • ไรอัน กราเวนเบิร์ช (บาเยิร์น มิวนิก)
  • มอยเซส ไกเซโด (ไบรท์ตัน)
  • มาเตอุส นูเนส (วูล์ฟส์)
  • ยูริ ติเลอม็องส์ (เลสเตอร์, ฟรี)

 

ในกลุ่มนี้เชื่อว่าลิเวอร์พูลจะพยายามที่จะคว้าตัวมาให้ได้ 2-3 คนเป็นอย่างน้อย ซึ่งแม้มันอาจจะไม่ ‘แฟนตาซี’ เท่ากับชื่อของเบลลิงแฮมแค่คนเดียว (และแน่นอนหมายถึงการพลาดโอกาสหนึ่งในเพชรเม็ดงามแห่งยุคสมัยไปด้วย)

 

เพียงแต่นี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าสำหรับลิเวอร์พูล และเป็นการยอมรับความผิดพลาดของสโมสรตลอดหลายปีแบบไม่ต้องพูดอะไรกันมาก

 

และมันคือการย้อนกลับไปในจุดเดิมของสโมสร กลับสู่แนวทางเดิมอีกครั้ง

 

แต่สุดท้ายมันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ บางครั้งเราอาจจะต้องกลับมาคุยกันอีกครั้งในปีหน้า

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising