×

ลิเวอร์พูลกับภาวะ ‘แฮงโอเวอร์’ ติอาโกจะกลับมาช่วยเยียวยาได้หรือไม่?

07.09.2022
  • LOADING...
ลิเวอร์พูล

ภาพการลากกระเป๋าในสนามบินของ ติอาโก อัลกันตารา กองกลางตัวคุมเกม ทำให้เหล่าเดอะค็อปรู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง ก่อนการไปเยือนรองจ่าฝูงเซเรีย อา ที่กำลังร้อนแรงอย่างนาโปลี ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกในค่ำคืนนี้

 

จะเกี่ยวมากหรือน้อยอยู่ที่คิด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบาดเจ็บของกองกลางทีมชาติสเปนตั้งแต่ต้นครึ่งหลังของเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกในการไปเยือนฟูแลม ซึ่งจบลงด้วยการเสมอ 2-2 มีส่วนทำให้ลิเวอร์พูลประสบปัญหาในหลายจุด

 

6 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก ทีมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 2 ทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษเล่นผิดฟอร์มอย่างมาก ชนะแค่ 2 นัด เสมอ 3 และแพ้อีก 1 ตามหลังจ่าฝูงอาร์เซนอลอยู่ 6 คะแนน และห่างจากคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ 5 คะแนนตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาของลิเวอร์พูลไม่ได้อยู่ที่การขาดหายของกองกลางอย่างติอาโกแค่คนเดียว แต่มีมากมายหลายจุดและล้วนส่งผลต่อกันเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่น ที่เคยมีช่วงที่นักเตะทีมชุดใหญ่หายหน้าไปร่วม 10 รายในเวลาเดียวกัน, การฟอร์มตกของนักเตะหลายคนพร้อมกัน, เรื่องของระบบการเล่นที่ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะในเกมที่มี ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าตัวใหม่ลงประจำการ

 

ไปจนถึงคำถามถึงความทุ่มเทในการเล่น เมื่อสถิติบอกว่านักเตะลิเวอร์พูล ‘วิ่งน้อย’ กว่าคู่แข่งทุกนัด ซึ่งมันตรงกับภาพความจริงว่า ในฤดูกาลนี้ทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ดูจะลดความดุดันในการเล่นลงมาก และความกระหายในชัยชนะที่เคยมีก็ดูจะน้อยกว่าเดิม

 

สิ่งที่มีการพูดถึงกันมากคือ ‘ทฤษฎีแฮงโอเวอร์’ (Hangover Theory) ของพวกเขา ที่เผาพลังชีวิตและจิตวิญญาณไปจนหมดในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งลงสนามมากถึง 63 นัด สู้จนสุดทางใน 4 รายการ แม้จะได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยที่ไม่เคยได้อย่างลีกคัพและเอฟเอคัพ แต่ความผิดหวังจากการพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วย 1 คะแนนที่ตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเสียท่าซ้ำให้แก่เรอัล มาดริดในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจ

 

ในบทสัมภาษณ์ของนักเตะลิเวอร์พูลหลายคนยอมรับว่า หลังความปราชัยที่สตาดเดอฟรองซ์ พวกเขาแทบไม่มีอารมณ์จะฉลองปาร์ตี้หลังจบการแข่งขัน ที่คล็อปป์จัดขึ้นเหมือนเดิมไม่ว่าผลการแข่งขันหลังนัดชิงจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพราะถือว่าทีมได้เหนื่อยกันมามากแล้ว

 

มากกว่านั้นคือพวกเขาแทบไม่อยากจะเข้าร่วมขบวนรถแห่ฉลองแชมป์ที่มีขึ้นในวันถัดไปเลย เพราะไม่อยู่ในอารมณ์ แม้ว่าทุกคนจะบอกเหมือนกันว่า ถึงจะรู้สึกแย่ แต่เมื่อได้เห็นพลังใจจากเดอะค็อปที่มาร่วมฉลองความสำเร็จ 2 แชมป์ และต้องการปลอบใจทีม ก็รู้สึกดีขึ้น

 

แต่คำถามที่ไม่มีใครตอบแทนได้เลยจริงๆ คือ ตกลงแล้วพวกเขา ‘ดีขึ้น’ จริงๆ หรือไม่ในเรื่องของความรู้สึก?

 

ยังไม่รวมในเรื่องของสภาพร่างกายการที่มีเวลาพักแค่ราว 4 สัปดาห์ (หรือน้อยกว่า สำหรับนักเตะที่ติดภารกิจทีมชาติในเดือนมิถุนายน ซึ่งก็มีหลายคน) กับการต้องเดินทางมาทัวร์พรีซีซัน และยังเริ่มฤดูกาลไวกว่าทีมอื่น เพราะต้องแข่งเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่มาก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 1 สัปดาห์

 

ปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายของนักเตะอาจมีส่วนหรือไม่มีส่วนก็ได้กับเรื่องนี้ เพราะผ่านการใช้งานมาอย่างหนักและยาวนาน

 

อย่างไรก็ดี ทางด้านคล็อปป์ปฏิเสธในเรื่องทฤษฎีแฮงโอเวอร์ และคาดหวังว่าหากจะมีสักเกมที่จะจุดประกายให้ทีมได้ ก็อาจเป็นเกมที่สนามดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา หรือในชื่อเดิม ซาน เปาโล

 

โดยอย่างที่บอกไปในประโยคแรก – วันนี้ติอาโกพร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมแล้ว

 

El Maestro จะเยียวยาลิเวอร์พูลเอง?

 

การกลับมาของติอาโกถือว่ามาได้จังหวะ

 

เพราะกองกลางเชิงสูงรายนี้กลับมาในวันที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ซึ่งถูกโยกไปยืนในตำแหน่งของเขา เจ็บกล้ามเนื้อด้านหลังโคนขาและต้องพักการเล่นอีกอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ และอีกรายคือ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ไอ้หนูดาวรุ่งที่กำลังโดดเด่น ก็บาดเจ็บจากเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีที่เสมอกับเอฟเวอร์ตันเมื่อสุดสัปดาห์ จนไม่สามารถลงสนามได้ไหวในเกมกับนาโปลีเช่นกัน

 

ส่วน อาร์ตู เมโล กองกลางรายใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากยูเวนตุสในวันสุดท้ายก่อนตลาดการซื้อ-ขายจะปิดตัวลงนั้น คล็อปป์ยืนยันว่า สภาพร่างกายยังไม่พร้อมสำหรับการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง มากที่สุดคือเป็นตัวสำรองไปก่อนเท่านั้น

 

ในช่วง 5 นัดครึ่งที่ติอาโกหายไป ลิเวอร์พูลประสบปัญหาอย่างมากในแดนกลาง โดยนอกจากในเกมกับบอร์นมัธที่ไล่ยำสนุกเท้าถึง 9-0 (ชนิดที่เดอะค็อปบ่นอุบว่าน่าจะแบ่งโควตาไปยิงเกมอื่นบ้าง) พวกเขาแทบไม่สามารถบงการเกมในแดนกลางได้เหมือนอย่างทุกที

 

ส่วนสำคัญเป็นเพราะการที่แดนกลางนั้นขาดความสมดุล ฟาบินโญไม่อยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม, เฮนเดอร์สันเริ่มอายุมากและโรยรา ไม่ต่างจาก เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 36 ปี ที่ใจไปแต่ขาไม่ไปแล้ว​ (ผู้เขียนเข้าใจเป็นอย่างดี) ขณะที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และคาร์วัลโญ แม้จะน่าประทับใจใน ‘เอเนอร์จี้’ ของคนรุ่นใหม่ แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ที่จะช่วยประคองทีมในยามคับขัน

 

เหนืออื่นใดคือไม่มีกองกลางคนไหนในทีม (และแม้แต่ในโลกก็หายาก) ที่จะควบคุมการไหลของกระแสเกมได้เหมือนที่ติอาโกทำ

 

นอกจากการดึงจังหวะของเกม การอ่านทาง การเก็บบอลจังหวะสอง การเปลี่ยนแกนบอลคือสิ่งที่มิดฟิลด์รายนี้สามารถช่วยทีมได้เป็นอย่างดี

 

แต่ต้องดูว่าติอาโกคนเดียวจะทำให้สถานการณ์ในทีมดีขึ้นได้แค่ไหน เพราะถึงจะเก่งอย่างไร ก็ไม่ใช่ยาวิเศษจากกระเป๋าของโดราเอมอน ที่กินเม็ดเดียวแล้วจะหายทุกอาการ

 

ลิเวอร์พูลยังมีปัญหาในแนวรุกที่นูนเญซ กองหน้าตัวความหวังคนใหม่ ยังปรับตัวกับสไตล์ของทีมไม่ได้ และทีมก็ไม่สามารถ ‘เดลิเวอรี’ เสิร์ฟโอกาสให้ถึงตัวได้มากเท่าที่ควรจะเป็น ทำให้ไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่

 

เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ ปีกชาวโคลอมเบีย ที่ระยะหลังเริ่มถูกดักทางได้และถูกลดทอนความอันตรายลงไปมาก เพราะสไตล์การเล่นที่ดื้อ อยากจะเอาชนะคู่แข่ง จนทำให้ไม่ยากที่จะรับมือ บวกกับความกดดันจากการที่ถูกคาดหวังว่าจะแทนที่ของ ซาดิโอ มาเน (เพลง ‘คนเก่าเขาทำไว้ดี’ ก็แทบจะดังขึ้นในหัว) ทำให้ยิ่งกลายเป็นความกดดันของตัวเองมากขึ้นไปอีก

 

ปัญหาความไม่สมดุลนี้ทำให้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ต้องพยายามมาช่วยทีมมากขึ้น และกลายเป็นอยู่ในพื้นที่ที่ถูกลดความอันตรายลงไปมาก  ซึ่งเรื่องนี้ถูกนำมาขยายในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และน่าสนใจว่าจะมีการแก้ไขจุดนี้หรือไม่ โดยที่นอกเหนือจาก 3 คนนี้ คล็อปป์ยังมี โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่น่าจะเล่นได้ดีที่สุดในบรรดากองหน้าทุกคน และ ดีโอโก โชตา ที่หายเจ็บกลับมาแล้วและมีสภาพร่างกายที่ถือว่าดีใช้ได้

 

อีกสิ่งที่ติอาโกอาจจะช่วยไม่ไหวและเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลในตอนนี้คือ เกมริมเส้นที่บอดสนิท 2 ฟูลแบ็กที่เคยดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก หรืออาจจะดีที่สุดในยุโรปอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ในช่วงฟอร์มตก และดูเหมือนจะหมดแรงที่จะเติมเกมอย่างเร้าใจเหมือนเก่า

 

สัญญาณที่น่าตกใจคือ การที่ทั้งคู่หากไม่ถูกดรอปหรือถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในช่วงครึ่งหลัง โดยมี คอสตาส ซิมิคาส และมิลเนอร์ ที่สลับกันลงไปประจำการแทน ซึ่งแม้คล็อปป์จะบอกว่าเป็นการ ‘เติมความสด’ ลงไป เพราะปัจจุบันพรีเมียร์ลีกสามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ 5 คนแล้ว แต่ปกติทั้ง 2 คนแทบจะไม่ถูกเปลี่ยนตัวหรือพักการเล่นเลย

 

และหากคิดถึงการที่ลิเวอร์พูลเคยมีฟูลแบ็ก 2 ข้างเป็น ‘เครื่องยนต์หลัก’ ของทีมแล้ว นั่นหมายถึงเวลานี้เครื่องยนต์กำลังขัดข้อง ก็ไม่แปลกที่ทีมจะสะดุด

 

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องของปัญหาเกมรับ ที่เสียประตูก่อนคู่แข่งเกือบทุกนัด (ยกเว้นเกมกับบอร์นมัธและเอฟเวอร์ตัน) ที่ทำให้ทีมตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองและต้องลุ้นกันเหนื่อยตลอดเวลา

 

การกลับมาของติอาโกคนเดียวจึงอาจไม่ใช่ทางออกของปัญหาทั้งหมด เพียงแต่อย่างน้อยที่สุด การได้กองกลางที่มีประสบการณ์กลับมา 1 คน ก็ดีกว่าไม่มีใครเหลือเลย ไม่ว่าจะกลับมาเป็นตัวจริง หรือตัวสำรองเพื่อลงมาเปลี่ยนเกมก็ตาม

 

เพราะคู่แข่งอย่างนาโปลีในเวลานี้ หรือความจริงจะเวลาไหนก็ตาม ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ลิเวอร์พูลไปเยือนในยุคของคล็อปป์มา 2 ครั้ง และกลับมาด้วยความปราชัยทั้ง 2 ครั้ง (และตอนคุมดอร์ทมุนด์ คล็อปป์ก็เคยแพ้ในปี 2013 มาแล้วเหมือนกัน)

 

ทีม ‘อัซซูรา’ ภายใต้การนำของ ลูเซียโน สปัลเล็ตติ เสียแข้งระดับท็อปอย่าง ลอเรนโซ อินซิเญ, คาลิดู คูลิบาลี, ดรีส์ เมอร์เทนส์ และ ฟาเบียน รุยซ์ แต่ก็ยังมีนักเตะฝีเท้าดีมากมายในทีม ไม่ว่าจะเป็น ปิโอเตอร์ ซีลินสกี (ที่ครั้งหนึ่งลิเวอร์พูลเคยอยากได้), วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าที่หลายสโมสรให้ความสนใจ

 

และทีเด็ดที่สุดตอนนี้คือ ควิชา ควารัตสเคเลีย ตัวทำเกมชาวจอร์เจีย ที่กลายเป็นนักเตะมหัศจรรย์คนใหม่ ได้รับสมญาว่าเป็น ‘ควาราโดนา’ ให้คิดถึง ดิเอโก มาราโดนา ตำนานเทพเจ้าลูกหนังผู้ล่วงลับ ที่เคยพานาโปลีไปสู่ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่

 

เกมคืนนี้ของลิเวอร์พูลจึงไม่ง่ายเลย และมีโอกาสจะเสียท่าอีกสูง เพียงแต่ตลอดเกือบ 7 ปีที่ผ่านมาในยุคของคล็อปป์ พวกเขาก็ไม่เคยชอบอะไรที่ได้มาง่ายๆ อยู่แล้ว 

 

บางทีเกมนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทีมกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้งก็เป็นได้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising