คุณจะได้อะไรกลับไป เมื่อรับสูท Bespoke ของแบรนด์ Liverano & Liverano ที่ใช้เวลาตัดถึง 10 เดือน!

‘Bespoke’ คำนี้อาจจะผ่านๆ หูคุณผู้ชายหลายคนบ่อยๆ แต่รู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร คำว่า Bespoke คือการทำบางสิ่งอย่างเฉพาะเจาะจง รวมถึงเสื้อผ้าแบบสั่งตัดสำหรับคนหนึ่งคนเท่านั้นด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะต้องพอดีและแสดงถึงตัวตนของผู้สั่งตัด ตั้งแต่เลือกผ้า เลือกกระดุม แบบกระเป๋า ทำแพตเทิร์นใหม่สำหรับคนนั้น เพราะฉะนั้นสูท Bespoke จะเรียกว่าเป็นสูทตัวเดียวในโลกที่สร้างมาเพื่อคุณเท่านั้น ถ้าหากเป็นผู้สั่งตัด

คำถามที่จะเกิดขึ้นต่อมาคือ แล้วมันต่างกับ Made to Measure อย่างไร วิธีของการตัดสูทสองแบบนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Made to Measure เป็นการนำเอาแพตเทิร์นแบบสแตนดาร์ดที่มีอยู่แล้วมาปรับให้เข้ากับขนาดตัวของผู้สั่ง เหมือนเวลาคุณเดินไปหน้าร้านแล้วบอกว่าอยากได้สูทแบบนี้ แต่เปลี่ยนไซส์และเปลี่ยนผ้า เปลี่ยนดีเทลกระดุม แต่ทรงยังคงเป็นตัวเดิมที่คุณเลือก นั่นแหละคือ Made to Measure

Photot: liverano.com

ร้านเทเลอร์ตัดสูทเก่าแก่อย่าง Liverano & Liverano แบรนด์ Top 5 ของโลก อยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ได้การยอมรับเป็นอย่างมากทั้งจากนักการเมือง นักธุรกิจ และทนาย ด้วยลักษณะเฉพาะของสไตล์สูทที่มีทรงเข้ารูปแต่ไม่แนบตัวจนเกินไป เส้นที่มีความคลีน ให้ความรู้สึกหรูหราสไตล์คลาสสิกตามแบบฉบับของคนเมืองฟลอเรนซ์ มีขนาดทรงที่เรียกว่าดรอป 6 ซึ่งสูตรสำเร็จตามแบรนด์ดังๆ ในยุคปัจจุบันนิยมใส่ขนาดทรงเป็นดรอป 7 ซึ่งมีการตีเกล็ดเข้ารูปเพื่อให้พอดีตัวมากๆ เพราะฉะนั้น Liverano & Liverano จึงเหมาะสำหรับคนที่หลงใหลเอกลักษณ์ความเป็นอิตาเลียนที่แท้จริง ราคาอยู่ที่ 130,000-160,000 บาทต่อ 1 ชุด (แล้วแต่ดีเทล)

“การตัดสูทคือการลงทุนอย่างหนึ่ง เราไม่อยากให้ทุกคนที่มาตัดสูทกับเราแล้วเอาไปแขวนเก็บไว้เพื่อใส่แค่ออกงานใหญ่ๆ แต่เราอยากให้ทุกคนใส่มันได้ทุกวันให้มันคุ้มเพราะสูท Bespoke จะช่วยทำให้พวกคุณดูดีและดูมีระดับขึ้นในทุกๆ วัน” – ลภัส เมฆรักษาวนิช Co-Founder ร้าน The Somchai

Liverano & Liverano ใช้เวลาตัดสูทรวมประมาณ 10-12 เดือน แบ่งออกเป็น 4 ครั้ง การที่ต้องใช้เวลานานนั้นเป็นเพราะทางแบรนด์ Liverano & Liverano ต้องการเข้าใจตัวของลูกค้าทั้งหมดเสียก่อน

โดยครั้งแรกจะมีการนั่งคุยประมาณครึ่งชั่วโมง สอบถามการใช้ชีวิตว่าปกติใช้ชีวิตแบบไหน สถานที่ที่ต้องใส่สูทส่วนมากเป็นอย่างไร และถึงขั้นศึกษาอนาโตมีของผู้ที่จะต้องการตัดว่านั่งอย่างไร ยืนอย่างไร ขับรถหรือเปล่า นั่งทำงานเยอะ หรือเดินมากกว่ากัน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเวลากลางวันหรือกลางคืน ซึ่งคำถามพวกนี้จะเป็นขั้นตอนของการเลือกเนื้อผ้าให้ตรงตามการใช้งาน เพราะสำหรับคนอิตาเลียนแล้ว การใส่สูทนั้นหมายถึง ‘การใช้ชีวิตประจำวัน’ ซึ่งต้องสวมใส่เหมือนเพื่อนคู่ชีวิตคุณในทุกๆ ที่

ครั้งที่สองกลับมาด้วยการฟิตติ้งโครงสร้าง อาจจะมาเป็นแบบครึ่งตัว มีแขนข้างเดียวและทำการหาทรงที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งของร่างกาย โดยใช้การวัดแบบเป็นเส้น เพราะแต่ละคนโครงสร้างต่างกัน โฟร์อาร์มที่นูน ขนาดความกลมของหัวไหล่ ความหนาของหน้าท้อง จากนั้นก็กลับไปเริ่มลงมือตัดแพตเทิร์นคร่าวๆ เพื่อนำไปทำม็อกอัพคล้ายของจริงในครั้งต่อไป โดยการกระจายตัวม็อกอัพออกและสร้างแพตเทิร์นขึ้นมาใหม่ให้ใกล้เคียงที่สุด

ครั้งที่สามเข้าสู่การ Draping นั่นคือการฟิตติ้งอย่างหนึ่งที่ขึ้นกับตัวคน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่แบรนด์ Liverano & Liverano ให้ความสำคัญ เพราะมันจะบ่งบอกเอกลักษณ์และความหรูหราผ่านเส้นต่างๆ ของโครงสร้างสูท โดยการ Draping จะเป็นการแก้ส่วนเว้าส่วนโค้งตามร่างกายของผู้สวมใส่เป็นจุดๆ ไป จึงทำให้เกิดความชัดเจนในสรีระและการตัดมากยิ่งขึ้น

ครั้งที่สี่จะเป็นการกลับมาด้วยการเช็กเรื่องของอนาโตมี การขยับของคน จุดไหนที่ขยับแล้วยับ จุดไหนที่ขยับแล้วไม่สวยงาม การยืนที่จะทำให้โครงสร้างชุดเปลี่ยน โดยการใช้ผ้าขนม้าหรือขนอูฐเย็บเสริมโครงสร้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษที่นิยมใช้เป็นแพดดิ้งที่มีความแข็ง ผ้าขนม้าหรือขนอูฐเองก็ยังหนาพอที่จะสร้างโครงสร้างสูท ทางแบรนด์จึงใช้การเย็บมือของแพตเทิร์นแต่ละชิ้นเพื่อสร้างโครงสร้างขึ้นมา ซึ่งเป็นเทคนิคขั้นสูงของการทำสูท Bespoke ที่สมบูรณ์แบบ

เมื่อเข้าใจถึงขั้นตอนต่างๆ เราจะมองเห็นภาพชัดขึ้นว่าสูทหนึ่งตัวที่ราคาสูงนั้นน่าลงทุนอย่างไร ถ้าใครเป็นคนที่ต้องใส่สูทเป็นประจำเพื่อเข้าสังคม หรือการทำงานที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถือ สูทจากแบรนด์ Liverano & Liverano เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณได้ดีทีเดียว และที่ดีไปกว่านั้นคือปัจจุบันไม่จำเป็นต้องบินไกลไปถึงฟลอเรนซ์ เพราะร้าน The Somchai ทองหล่อ 11 มีการให้ทางแบรนด์  Liverano & Liverano บินตรงมาลงที่ร้านทุกๆ 3 เดือนเพื่อรับออร์เดอร์และฟิตติ้งลูกค้าด้วยตนเอง พร้อมทั้งนำผ้าที่เป็น Archive ของทางร้านมาเป็นจำนวนมาก ทั้งผ้าวินเทจ ผ้าที่ไม่ผลิตแล้ว จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีความหลากหลายของเนื้อผ้าและลายทอที่จะไม่เหมือนที่อื่นๆ อีกทั้งยังสามารถเลือกผ้าที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตปัจจุบันได้อย่างตรงจุด

ขอบคุณข้อมูลจาก
ลภัส เมฆรักษาวนิช Co-Founder ร้าน The Somchai

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า