26 กรกฎาคม 2006 คือวันที่รถโฟล์กตู้สีเหลืองสด ภาพจำอันเป็นเอกลักษณ์ของหนังเรื่อง Little Miss Sunshine (กำกับโดยโจนาธาน เดย์ตัน และวาเลรี ฟาริส) เริ่มพาครอบครัว ‘ฮูเวอร์’ ออกเดินทางไกลเพื่อนำความสดใสของหนูน้อย ‘โอลีฟ’ ไปครองใจคนทั้งโลกเป็นครั้งแรก (รับบทโดยอบิเกล เบรสลิน)
Little Miss Sunshine เป็นโรด มูฟวี ฟีลกู้ด ที่พาคนดูไปตามติดการเดินทางของสมาชิกครอบครัวฮูเวอร์ 6 คน เพื่อพาโอลีฟไปพิชิตฝันในการเป็น ‘นางงามพระอาทิตย์ส่องแสง’ พวกเขาเริ่มต้นหลักไมล์จากนิว เม็กซิโก เดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียเป็นระยะทาง 800 ไมล์
ในหนังใช้เวลาเพียง 2 วันในการเล่าเรื่อง แต่ด้วยคาแรกเตอร์การเป็น ‘ครอบครัวลูสเซอร์’ ที่รวมเอาคนที่มีปมชีวิตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมามัดรวมไว้ในรถโฟล์กตู้บุโรทั่ง ที่แม้จะปิดประตูให้สนิทยังทำไม่ได้ หากแต่ตลอดเส้นทางบนถนนที่ทอดยาวนั่นเอง กลับเป็นสถานที่ให้พวกเขาเรียนรู้และเยียวยาบาดแผลทางหัวใจให้กันและกัน
ริชาร์ด ฮูเวอร์ (รับบทโดยเกร็ก คินเนียร์) หัวหน้าครอบครัวที่ยึดติดกับการพยายามเดินตาม ‘เส้นทาง’ สู่ความสำเร็จ แต่ยิ่งเขาพยายามมากเท่าไร ความสำเร็จกลับยิ่งไกลออกไปจากตัวเขามากขึ้นเท่านั้น แต่ใช่ว่าโชคชะตาจะร้ายกับเขาไปเสียหมด เพราะริชาร์ดยังมี เชอริล ฮูเวอร์ (รับบทโดยโทนี คอลเล็ตต์) ภรรยาที่ทั้งคอยผลักดันและกดดันอยู่ไม่ห่าง
แฟรงก์ จินสเบิร์ก (รับบทโดยสตีฟ คาเรลล์) น้องชายของเชอรีล อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ช้ำรักจากลูกศิษย์หนุ่ม จนเกิดอาการซึมเศร้าและคิดจบชีวิตของตัวเอง ภาคตรงข้ามของ เอ็ดวิน ฮูเวอร์ (รับบทโดยอลัน อาร์คิน) คุณปู่จอมซ่าผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดในชีวิต แถมติดเฮโรอีนเป็นประจำ
ดเวย์น ฮูเวอร์ (รับบทโดยพอล ดาโน) เด็กหนุ่มวัยค้นหาตัวเองที่มี Friedrich Nietzsche เป็นไอดอล เขาคือวัยรุ่นที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อความฝัน ถึงขนาดยอมไม่คุยกับคนในครอบครัวเด็ดขาดจนกว่าความฝันนั้นจะสำเร็จ
และ โอลีฟ ฮูเวอร์ หนูน้อยที่ความฝันของเธอเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง และเธอก็ต้องเรียนรู้ว่าทุกความฝันนั้นแสนเข้มงวด และไม่เคยผ่อนปรนให้กับใครแม้แต่เด็กสาวที่น่ารักอย่างเธอ
ตลอด 1 ชั่วโมง 41 นาทีของหนัง ได้ฝาก ‘ฉากจำ’ ที่แสนอบอุ่นหัวใจเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะทุกฉากบนรถตู้ เพราะในเวลาอื่นพวกเขาอาจตั้งกำแพงเข้าใส่กัน แต่ปัญหาแสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับรถคนนี้คือช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้พูดคุยและ ‘ร่วมมือ’ กันจริงๆ
รวมทั้งท่าเต้นกวนๆ ที่คุณปู่ถ่ายทอดวิชาให้กับหลานสาวเอาไปใช้ในงานประกวด รอยยิ้มสดใสของโอลีฟที่แจกจ่ายให้ทุกคนตลอดเวลา ฉากดเวย์นผู้นิ่งเงียบมาตลอดทั้งเรื่องต้องปล่อยโฮออกมาเพราะหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าความฝันของตัวเองไม่มีทางเป็นจริง และทุกคำสอนและปลอบใจของใครก็เยียวยาเขาไม่ได้ ยกเว้นการโอบกอดจากอ้อมแขนเล็กๆ ของน้องสาวที่เดินเข้ามาด้วยความเงียบงัน
ทุกตัวละครจะค่อยๆ เติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กัน โดยมีโอลีฟเป็นเสมือนพระอาทิตย์ ศูนย์กลางที่ดึงทุกคนเอาไว้ด้วยกัน และนำไปสู่ฉากจบที่แสนประทับใจ เมื่อทุกคนได้ปลดปล่อยและทำลาย ‘กำแพง’ ของตัวเองลงอย่างราบคาบในงานประกวดที่พวกเขาพยายามมาตลอดเพื่อมาให้ถึง และเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่ทุกคนได้เข้าใจความหมายของคำว่า ‘Little Miss Sunshine’ ที่แท้จริงเป็นครั้งแรก
Little Miss Sunshine เป็นหนังที่มีทุนสร้างแค่ 8 ล้านเหรียญ แต่สามารถทำเงินจากทั่วโลกไปได้มากถึง 100 ล้านเหรียญ รวมทั้งคว้ารางวัลออสการ์สาขา Best Original Screenplay มาครองได้สำเร็จ และนับว่าเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวให้กับพอล ดาโน ในฐานะนักแสดงวัยรุ่นจนกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือที่มักจะได้รับบทตัวละครที่มีปมภายในจิตใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา