ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับการที่สมาคมภัตตาคารได้ยื่นเรื่องกับรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล เสนอให้นำโครงการ ‘คนละครึ่ง’ กลับมาใหม่ เพราะหาก ‘เกิด’ ขึ้นจริง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับวงการร้านอาหารไทยที่ประสบปัญหายอดขายตกอย่างหนักโดยเฉพาะในปีนี้
อ้างอิงจากสถิติของ LINE MAN Wongnai พบว่ายอดขายเฉลี่ยของร้านอาหารทั่วประเทศไทยลดลงมาตั้งแต่ต้นปี โดยไตรมาส 2 ลดลงมากถึง -14% หากดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพ ยอดขายไตรมาส 2 ลดเยอะกว่าต่างจังหวัดด้วยคือ -16%, พื้นที่ย่านธุรกิจ (CBD) -19% และพื้นที่ยอดนิยมอย่างบรรทัดทอง ลดลงถึง -35%
“เท่าที่คุยกับเจ้าของร้านอาหารหลายๆ คน ปีนี้มันยากจริงๆ” ซีอีโอ LINE MAN Wongnai ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘ภูมิใจไทย’ เล็งฟื้นโครงการคนละครึ่ง หวังกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
- ถอดรหัสสมการใหม่ธุรกิจร้านอาหารไทย 2025 เมื่อต้นทุนพุ่ง-ลูกค้าเปลี่ยน ใครคือผู้รอด?
- สมรภูมิร้านอาหาร 2568 ร้านเปิดใหม่ลด 30% พบ ‘ลูกค้าไม่ได้กินน้อยลง แค่ไม่ได้ไปที่ร้าน’
- Financial Times พาดหัว ‘ราชากัญชา’ ของไทย ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
ในวันเดียวกันนี้ (6 ก.ย.) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่าพรรคมีแนวคิดที่จะฟื้นโครงการคนละครึ่ง เพื่อเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ โดยอาจจะมีการต่อยอดและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้มากขึ้นกว่าเดิม
สิริพงศ์กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีกว่าโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต และเชื่อว่าการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจจะดีกว่า โดยมีงบประมาณที่ใช้ไม่สูงเท่า ทั้งนี้ แนวทางที่กำลังพูดคุยกันคือการใช้ระบบแอปพลิเคชันเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อลดการลงทุนที่ไม่จำเป็น
รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยระบุว่า รายละเอียดของงบประมาณที่ใช้ยังไม่ได้มีการสรุปอย่างชัดเจน เพราะเป็นการพูดคุยในเชิงหลักการเท่านั้น ซึ่งนโยบายหลักทั้งหมดต้องรอการสั่งการจากอนุทิน ชาญวีรกูล
ยอดระบุว่า ในฐานะที่ LINE MAN Wongnai เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา คิดว่าเป็นนโยบายที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง โดยพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ
“เท่าที่อ่านดูจากความเห็นในโซเชียลก็พบว่าประชาชนอยากให้นำโครงการนี้กลับมาจริงๆ แบบแทบจะเป็นเอกฉันท์ เพราะช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพได้จริง” ยอดระบุ
ซีอีโอ LINE MAN Wongnai ระบุต่อว่า ส่วนตัวชอบโครงการลักษณะ Co-Payment ลักษณะนี้ เพราะคิดว่า
1.เหมาะกับ SMB ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีกำลังพอช่วยตัวเองได้บ้าง แต่ถ้ามี ‘แรงหนุน’ เข้ามาช่วย จะทำให้ทุกคนคล่องตัวขึ้นได้ และมีกำลังใจในการทำให้ดีขึ้นในระยะยาว
2.ป้องกัน Fraud (การฉ้อโกง) ได้ดีระดับหนึ่ง เพราะมีลักษณะ co-pay คือลูกค้าต้องออกด้วยครึ่งหนึ่ง ทั้งการใช้จ่ายไปยังร้านค้าที่ต้องลงทะเบียนจริง
3.สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวกว่า เนื่องจากมีการจำกัดวงเงินรายวัน (ครั้งที่แล้ว 150 บาท) ดีกว่าเงินให้เปล่าที่อาจจะเกิดการใช้จ่าย (นอกระบบ) ครั้งเดียว วันเดียวจบ
“ผมคิดว่าหากรัฐบาลมีอายุสั้นเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา การนำระบบไอทีเดิมที่เคยมีอยู่แล้วกลับมาใช้งาน ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในแง่ระยะเวลาการทำงาน ส่วนการยืนยันตัวตนร้านค้าที่อาจเปลี่ยนหน้าไปบ้างในช่วง 3-4 ปีที่ไม่มีโครงการคนละครึ่ง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วยได้”
“หากรัฐบาลจะทำโครงการนี้จริงๆ LINE MAN Wongnai มีข้อมูลร้านอาหารที่อัปเดตเป็นปัจจุบันอยู่แล้ว ก็ยินดียกข้อมูลนี้ให้ทั้งหมด เพื่อที่ร้านค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนใหม่” ซีอีโอ LINE MAN Wongnai กล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิง: