เคยงงไหมว่าที่พักแต่ละประเภทนั้นต่างกันอย่างไร บางแห่งก็บอกว่าตนเองเป็นโรงแรม แต่แท้จริงแล้วละม้ายคล้ายเกสต์เฮาส์ หรือเวลาไปพักตามรีสอร์ตแล้วพนักงานเอ่ยว่า “ห้องพักอยู่โซนโรงแรมนะคะ” ได้แต่คิดในใจว่า อ้าว! แล้วเราไม่ได้อยู่ในโรงแรมหรอกหรือ จะโรงแรมซ้อนโรงแรมอะไรขนาดนั้น

     ด้วยเหตุนั้นแล เราจึงรวบรวมคำเรียกขานโรงแรมรูปแบบต่างๆ เผื่อว่าเช็กอินคราวหน้าจะได้มีเเคปชันใหม่ๆ อวดเพื่อนได้อีกเพียบ

 

Photo: Marina bay sands

 

Hotel

     ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจภาพรวมก่อนว่า คำว่า ‘Hotel’ หรือ ‘โรงแรม’ คือคำเรียกรวมๆ ของที่พักทั้งหมดที่ปล่อยให้เช่าค้างอ้างแรม ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา โฮสเทล บังกะโล หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีการแลกเปลี่ยนเพื่อการเช่านอนแบบชั่วคราวจะถูกเอ่ยอ้างว่าเป็นโรงแรมได้หมด

     แต่อีกนัยหนึ่ง คำว่า ‘โรงแรม’ ก็สามารถนำมาอธิบายลักษณะของที่พักได้ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด เช่น โรงแรมตามเมืองใหญ่ที่มีลักษณะเป็นตึกสูง คล้ายคอนโดมิเนียม มีสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย มีบริการแม่บ้านทำความสะอาด และ Room Service ตลอด 24 ชั่วโมง

 

Photo: Emily Marie Wilson, Shutterstock

 

Guesthouse

     บ้านรับรองคล้ายโรงแรม แต่มีขนาดเล็ก ให้บริการเฉพาะห้องพักและอาหารเช้าเท่านั้น เหมาะกับนักเดินทางที่มีงบจำกัด ดูแลโดยเจ้าของบ้าน และมักใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกับเจ้าบ้าน แต่ปัจจุบันเจ้าบ้านมักสร้างที่พักแยกต่างหากเพื่อความเป็นสัดส่วนและส่วนตัว

 

Photo: Nick Fox, Shutterstock

 

Motel

     เทรนด์ที่พักจากอเมริกา มาจากคำว่า Hotel + Motor โรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ติดกับถนนหลวงหรือถนนสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัด อารมณ์ขับรถมาง่วงๆ ก็เลี้ยวเข้าไปเช็กอินได้ทันที แต่หลายคนนิยมใช้งานพ่วงด้วยเรื่อง 18+ โมเต็ลเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่สนุกสนานสำหรับการมีเซ็กซ์ แทนการหลับนอนเพื่อการพักผ่อน

 

Photo: Radiokafka, Shutterstock

 

Hostel

     ที่พักนักท่องเที่ยวราคาประหยัดซึ่งมีเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น เตียงนอน และที่เก็บของ ส่วนมากมักจะมีลักษณะคล้ายหอพัก ซึ่งต้องแชร์ห้องนอนและห้องน้ำรวมกับผู้อื่น อาจจะ 4 คน 6 คน หรือ 8 คน เป็นที่นิยมในหมู่แบ็กแพ็กเกอร์วัยเยาว์ ปัจจุบันโฮสเทลปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีทั้งแบบพัฒนาไปเป็นพอชเทล (Poshtel) หรือเพิ่มห้องพักเดี่ยวเพื่อรองรับ

 

Photo: Ivan Kurmyshov, Shutterstock

 

Resort

     สถานตากอากาศเพื่อการพักผ่อน มักอยู่ในภูมิประเทศดีๆ อาณาบริเวณกว้าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉกเช่นโรงแรม และบรรยากาศสบายๆ นิยมแยกห้องพักเป็นสัดส่วน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบ้านเป็นหลังๆ อาจเป็นวิลล่า หรือบังกะโล และโรงแรมผสมปนเปอยู่ด้วยกัน

 

Photo: WytheHotel

 

Boutique Hotel หรือ Boutique Resort

     เกิดขึ้นในยุคที่โรงแรมเชน (Chain Hotel) ขนาดใหญ่และหรูหราเฟื่องฟูในแถบยุโรปจนผู้คนโหยหาไลฟ์สไตล์การพักผ่อนอันเป็นเอกลักษณ์ มีความปัจเจก และสะท้อนประสบการณ์ตรงที่ได้จากโรงแรม ระยะแรกบูติกโฮเทลนิยมปรับปรุงโครงสร้างจากสถานที่หรือปราสาทเก่า มีขนาดกะทัดรัด ไม่กี่สิบห้องนอน ทว่าโดดเด่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ เป็นโรงแรมทางเลือก ‘สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ผู้แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่าง’

 

Stylish Hotel หรือ Stylish Resort

     คำเรียกที่พักที่บิดมาจาก Boutique Hotel & Resort จัดอยู่ในหมวดเดียวกัน แต่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์จัดจ้าน มีจริตความโก้เก๋ ปัจจุบันมีโรงแรมเชนหลายแบรนด์เริ่มหันมาจับกระแส โดยดึงคนในวงการแฟชั่นมาร่วมพัฒนาด้วย

 

Photo: Vinehouse

 

B&B

     ย่อมาจาก Bed & Breakfast มีความหมายตรงตัวว่าให้บริการแค่ที่นอนและอาหารเช้า เป็นที่พักในรูปแบบส่วนบุคคลที่เจ้าของบ้านแบ่งห้องให้นักเดินทางเช่าอยู่ คล้ายโฮมสเตย์ แต่มีขนาดเล็กกว่า ปัจจุบันมักเอาไว้จัดระดับประเภทห้องพัก ซึ่งมักเป็นที่พักขนาดเล็กกะทัดรัด ไม่กี่ห้องนอน

 

Airbnb

     ช่องทางการจองที่พักอีกรูปแบบที่ให้เจ้าของบ้านนำที่พักตนเองมาสร้างรายได้ ด้วยการให้นักเดินทางเช่าพัก จะว่าไปก็คล้าย B&B อยู่มากโข ส่วนใหญ่เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์ไม่มีบริการอาหารเช้า ลักษณะห้องพักมีทั้งห้องพักแบบเช่าครองทั้งหลัง และห้องพักแยก แต่อาศัยร่วมกับเจ้าของห้อง ซึ่งกำลังมาแรงให้หมู่นักเดินทาง เนื่องจากราคาสบายกระเป๋า ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านตนเองหรือบ้านเพื่อนมากกว่าการอยู่โรงแรม

 

Photo: OlegD, Shutterstock

 

Bungalow

     ที่พักให้เช่าในราคาประหยัดมาก ลักษณะเป็นบ้านพักขนาดเล็ก ทำจากวัสดุง่ายๆ ไม่มีอาหารให้บริการ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมมาเอง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดเป็นพิเศษ

 

Photo: smoxx, Shutterstock

 

Villa

     บ้านพักขนาดใหญ่ มักมี 1-2 ห้องนอนขึ้นไป แบ่งพื้นที่ต่างๆ เป็นสัดส่วนชัดเจน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรงแรมหรือรีสอร์ตขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี บางแห่งมีบัตเลอร์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงด้วย

 

Residence

     นิยมมาในรูปแบบของบ้านพักตากอากาศ ส่วนใหญ่มักเป็นวิลล่าขนาดใหญ่ที่ขายขาดแก่เจ้าของ และมีบริษัทส่วนกลางรับหน้าที่ดูแล ปัจจุบันหลายแห่งเปิดให้พักแบบ ‘Timeshare’ ปล่อยให้คนนอกเช่าพักยามเจ้าของไม่อยู่อาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างคล้ายหรือเทียบเท่าโรงแรมในบางแห่ง

 

Photo: Photographee.eu, Shutterstock

 

Serviced Apartment

     ว่ากันง่ายๆ เลยก็คืออพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมให้เช่า ส่วนใหญ่มักเป็นแบบรายเดือน แต่ปัจจุบันให้บริการแบบรายวันมากขึ้น มีความเป็นส่วนตัว มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกไม่มากนัก สมัยก่อนไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะผู้เข้าพักกลัวเรื่องความสะอาด แต่ปัจจุบันมีหลายแห่งพัฒนาจนมีลักษณะและการบริการคล้ายโรงแรม แต่ราคาถูกกว่า

 

Photo: A four season tented camp golden triangle price

 

Camping

     ที่พักแบบเต็นท์ นิยมพักตามป่าเขาหรือเกาะแก่งต่างๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทุกอย่างต้องจัดเตรียมเองตั้งแต่อุปกรณ์ไปจนถึงของกินดื่ม

 

Glamping

     เทรนด์การพักผ่อนแบบเต็นท์ แต่หรูหรา รูปแบบภายนอกเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ ด้านในตกแต่งสวยงาม ให้ความรู้สึกเหมือนพักโรงแรมใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เตียงนอนหนานุ่ม ผ้าห่มผืนหนา เครื่องชงกาแฟ ห้องน้ำส่วนตัว อ่างอาบน้ำแบบจากุซซี บางแห่งมีบัตเลอร์ดูแล 24 ชั่วโมง ผู้เข้าพักไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลย เพราะมีคนดูแลให้เสร็จสรรพ

 

Photo: Nikodash, Shutterstock

 

Couch Surfing

     มาจากคำว่า Couch + Surfing แปลตรงตัวก็คือ การนอนเล่นโซฟาบ้านคนอื่น ไม่มีห้องพักแยก อาศัยนอนตามโซฟาหรือเปลไกว เหมาะกับคนงบน้อยถึงน้อยที่สุด ปัจจุบันมีคาเฟ่ Couch Surfing เปิดให้บริการอยู่หลายแห่ง ส่วนใหญ่มักอยู่ในแถบยุโรป และญี่ปุ่น ส่วนในบ้านเราน้อยมาก แทบไม่มีให้บริการ

 

Homestay

     การท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่ให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับคนในท้องถิ่น อยู่บ้านเดียวกัน กินอาหารหม้อเดียวกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เจ้าบ้านทำอะไรเราก็ทำอย่างนั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาประสบการณ์แปลกใหม่ ท่องเที่ยวแบบลึกซึ้ง กินอยู่เยี่ยงคนท้องที่