รู้จัก ‘Negroni’ ค็อกเทลสุดคลาสสิกจากอิตาลี ที่มีอีเวนต์ประจำปีเป็นของตัวเอง

ช่วงนี้นักดื่มทั้งหลายน่าจะได้เห็นแคมเปญยิ่งใหญ่อลังการที่ทางบริษัทเหล้าสมุนไพรสีแดงแรงฤทธิ์จากอิตาลีอย่าง Campari ได้ทำการโปรโมตอย่างไม่ขาดสายเกี่ยวกับกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่าง Negroni Week แต่เชื่อว่าเมื่อได้ยินข่าวแล้วก็ต้องมีคนสงสัยกันอยู่บ้างว่าค็อกเทลสีจัดจ้านรสชาติขมนุ่มอย่างเนโกรนีนั้นได้อภิสิทธิ์มาจากไหนถึงมีการจัดอีเวนต์ประจำปีเป็นของตัวเอง อะไรจะเหนือขนาดนั้น แล้วทำไมนักดื่มอย่างเราจะนั่งจิบเหล้าธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมกับเขาด้วยล่ะ

เหตุผลไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรมากนัก เพราะในความเป็นจริงแล้ว กิจกรรม Negroni Week นั้นเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของบริษัทเหล้าสมุนไพรที่ชื่อว่า Campari กับนิตยสารเรื่องเหล้าชื่อดังอย่าง Imbibe โดยงานจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2013 ด้วยความต้องการที่จะจัดกิจกรรมสนุกๆ โดยทั้งเชิญชวนคนมาดื่มและทำบุญร่วมกันไปด้วย เรื่องราวของการเริ่มต้นจัดงานมีอยู่ว่า ทาง Campari จะชวนบาร์ต่างๆ เข้าร่วมลงทะเบียนในเว็บไซต์ของทางบริษัท โดยจะเสียค่าลงทะเบียนเป็นจำนวนเงิน 25 เหรียญสหรัฐ และเงินที่ได้จากการลงทะเบียนนี้ แต่ละบาร์สามารถเลือกได้ว่าจะนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลใด ซึ่งจะเลือกจากองค์กรที่ Campari จัดไว้ให้ หรือจะเลือกองค์กรนอกเหนือจากลิสต์ก็ไม่มีใครว่า

จากงานเล็กๆ ในปีแรก ปีนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม Negroni Week ก็ได้เพิ่มจำนวนนอกเหนือจากอเมริกามาเป็นหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย และแน่นอนว่าเงินที่ได้จากการบริจาคนั้นก็จะไปสมทบทุนให้กับหลายๆ มูลนิธิทั่วประเทศไทย เช่น มูลนิธิอนุเคราะห์ คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์, มูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี, Pediatric Cardiac Surgery Foundation หรือโรงพยาบาลราชวิถี นอกจากนี้บางบาร์ที่เข้าร่วมยังบริจาคเพิ่มเติมจาก 25 เหรียญสหรัฐแรก เป็นสัดส่วนจากการขายเนโกรนีตลอดทั้งสัปดาห์นี้อีกด้วย นี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลหลักว่าทำไมในช่วงสัปดาห์นี้ เรานักดื่มถึงควรไปร่วมกิจกรรมกับเขาเสียหน่อย เปลี่ยนจากจิบเหล้า จิบเบียร์ มาจิบเนโกรนีกันดีกว่า ได้ความสนุกแล้วยังได้บุญอีกด้วย

ค็อกเทลที่ชื่อ ‘เนโกรนี’ คืออะไรกันแน่

เรื่องราวมีอยู่ว่า เนโกรนี (Negroni) คือหนึ่งในคลาสสิกค็อกเทลที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกตัวหนึ่งก็ว่าได้ ถ้าลองอ่านตำนานดูจะทราบว่าเกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี ในยุคปี 1920s ปีทองยอดฮิตที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Prohibition Era หรือช่วงปีที่อเมริกาห้ามขายเหล้าจนทำให้เกิดบาร์ใต้ดิน หรือที่เราเรียกกันว่าสปีกอีซี (Speakeasy) กันมากมาย จนบาร์ในกรุงเทพฯ หลายแห่งในปัจจุบันหยิบยกธีมขึ้นมาทำตามนั่นแหละ

กลับมาที่อิตาลี ด้วยความที่ไม่ได้ถูกห้ามขายเหล้าเหมือนอย่างอเมริกา สินค้าอย่างหนึ่งที่ถือเป็นของดีประจำประเทศนี้คือเหล้าที่ได้จากการหมักกับสมุนไพรต่างๆ นานา ตัวหนึ่งที่ฮิตมากก็คือ Campari และอีกตัวหนึ่งเรียกว่า Vermouth

เสียงลือเสียงเล่าอ้างสำหรับตำนานของเนโกรนีเกิดขึ้นที่ Caffe Campari (บาร์ของคนที่ผลิต Campari นั่นแหละ) เมื่อบาร์เทนเดอร์ได้ทำการผสมเหล้าสมุนไพรสองชนิดนี้เข้าด้วยกัน เกิดเป็นค็อกเทลที่ชื่อว่า Milano-Torino มาจากว่า Campari คือของดีเมืองมิลาน ส่วนเวอร์มุทนั้นมาจากเมืองตูริน

ต่อมาเมื่อชาวอเมริกันเริ่มมาดื่มเหล้ากันมากขึ้นในยุโรป เพราะบ้านตัวเองขายเหล้าไม่ได้ ก็ได้เริ่มวัฒนธรรมการขอเพิ่มโซดาลงไปในส่วนผสมของ Milano-Torino เกิดเป็นอีกค็อกเทลที่มีชื่อว่า Americano เป็นการล้อว่าดื่มแบบคนอเมริกัน

ถัดจากนั้นมีชายท่านหนึ่งนามว่ากามิลโล เนโกรนี (Camilo Negroni) เกิดอยากจะเปลี่ยนแปลงสูตรอีก โดยการให้บาร์เทนเดอร์ใส่เหล้าจิน (Gin) ลงไปแทนโซดา จึงเกิดใหม่กลายเป็นค็อกเทลรสชาติขมนุ่มด้วยส่วนผสมที่เท่ากัน (Equal Portion) ของ Gin-Campari-Vermouth ที่ฮิตกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยได้ตั้งชื่อตามชายคนที่เดินเข้ามาสั่งให้บาร์เทนเดอร์ทำแบบนั้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเกิดของเนโกรนีอีกหลายเวอร์ชัน เพราะความจริงก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าต้นกำเนิดของค็อกเทลดังกล่าวนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่จากเรื่องราวที่เล่ามาทำให้นักดื่มรู้จักค็อกเทลเพิ่มขึ้นอีกสองตัวที่ถือว่าเป็นคุณปู่และคุณพ่อของเนโกรนี หากช่วง Negroni Week ได้มีโอกาสไปจิบเนโกรนีที่ไหน อย่าลืมลองสั่งสองตัวนี้มาชิมให้ครบทั้งครอบครัวด้วยแล้วกัน