เคยสงสัยไหมว่าเสื้อผ้า UNIQLO ที่เราใส่กันอยู่ทุกวัน เบื้องหลังมันมีอะไรมากกว่าแค่ผ้ากับด้าย? เราเพิ่งได้คำตอบแบบเต็มๆ จากการเดินทางไปถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่ง UNIQLO ได้เผยให้เราเห็นทุกมิติของแบรนด์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่เบื้องหน้าสุดอลังการในงาน ‘The Art and Science of LifeWear’ หรือที่เรียกกันว่า LifeWear Day ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (MoMA) ไปจนถึงเบื้องหลังสุดเอ็กซ์คลูซีฟในห้องทดลองลับอย่าง Global Innovation Centre (GIC) ที่น้อยคนจะได้เห็น ซึ่งแน่นอนว่าภาพทุกอย่างถูกบันทึกไว้ได้เพียงในความทรงจำของเราเท่านั้น
การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เสื้อผ้าที่ดูเรียบง่ายนั้นคือผลลัพธ์ของการหลอมรวม ‘วิทยาศาสตร์’ ด้านนวัตกรรมเข้ากับ ‘ศิลปะ’ แห่งการออกแบบที่ไร้กาล และกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้…มันไม่ง่าย
และนี่คือ 6 กุญแจสำคัญที่เรากลั่นกรองออกมาจากการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งเราเชื่อว่ามันจะทำให้คุณมองเสื้อผ้า UNIQLO ในตู้เสื้อผ้าเปลี่ยนไปตลอดกาล
UNIQLO ไม่ใช่ Fast Fashion
Tadashi Yanai (ทาดาชิ ยาไน) ผู้ก่อตั้งและประธาน UNIQLO และเจ้าของอาณาจักร Fast Retailing หนึ่งในบริษัทค้าปลีกสินค้าเครื่องแต่งกายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ด้วยคำกล่าวที่ทรงพลัง “UNIQLO ไม่ใช่ Fast Fashion เราไม่เคยผลิตเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทิ้ง…”
เขาชี้ว่าปรัชญาของแบรนด์นั้นสวนทางกับยุคของการผลิตและทิ้งขว้างจำนวนมหาศาล และคำตอบของ UNIQLO คือการสร้างสรรค์ ‘LifeWear’ เสื้อผ้าคุณภาพสูงที่ไร้กาลเวลา สามารถสวมใส่ได้นานหลายปี ซึ่งปรัชญานี้ไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่ถูกพิสูจน์ด้วยกระบวนการทำงานเบื้องหลังที่เราได้สัมผัสจาก GIC
- คิดล่วงหน้ากว่า 2 ปี:
ขณะที่เราอยู่ในปี 2025 ทีม R&D กำลังเริ่มรีเสิร์ชสำหรับคอลเล็กชัน Spring/Summer 2027 แล้ว! นี่คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า UNIQLO ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ลึกซึ้งเพื่อสร้างเสื้อผ้าที่ไร้กาลเวลา ไม่ใช่การวิ่งตามเทรนด์
- หมกมุ่นกับทุกรายละเอียด:
UNIQLO มีห้องตัดเย็บและสร้างแพตเทิร์น (Atelier) อยู่ในออฟฟิศ ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์แฟชั่นส่วนใหญ่ไม่มีด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว การมี Atelier ของตัวเองทำให้ทีมสามารถลงลึกในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เสื้อผ้าทุกชิ้นมีคุณภาพสูงสุดและอยู่กับเราได้นานที่สุด
- ต่อสู้เพื่อ ‘คุณค่า’ ที่ลูกค้าต้องได้:
เบื้องหลังราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้นั้นมีความซับซ้อนกว่าที่คิด ทีมงานเล่าว่า บ่อยครั้งที่พวกเขาพัฒนาผ้าที่ดีที่สุดขึ้นมาได้ แต่ราคาสูงเกินกว่าที่ลูกค้าจะยอมรับ พวกเขาจึงต้องกลับไปทำงานร่วมกับโรงงานผลิตผ้าอย่างหนักเพื่อหาทางลดต้นทุนโดยไม่ลดทอนคุณภาพ เช่น “ทำให้เบาลงได้ไหม” “เอาด้ายออกสักเส้นได้ไหม” หรือ “เปลี่ยนวิธีเคลือบผิวได้หรือเปล่า” กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี เพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าคุณภาพเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด
- นวัตกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง:
การพัฒนาผ้าที่สมบูรณ์แบบอาจใช้เวลาหลายปี และแม้แต่สินค้าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้วอย่าง HEATTECH ทีมงานก็ต้อง เริ่มคิดถึง ‘What’s Next’ อยู่เสมอ วงจรการพัฒนานี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าเดิมอย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากการออกแบบที่ไร้กาลเวลาแล้ว ปรัชญา ‘ไม่ใช่ Fast Fashion’ ของ Tadashi Yanai ยังครอบคลุมถึงความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ซึ่งสะท้อนผ่านนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรม อาทิ เทคโนโลยี BlueCycle ซึ่งถูกคิดค้นโดยศูนย์นวัตกรรมยีนส์ (Jeans Innovation Center) ที่ลอสแอนเจลิส สามารถลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการฟอกยีนส์ได้สูงสุดถึง 99% จนเหลือเทียบเท่ากับน้ำในแก้วน้ำชาเพียงหนึ่งใบ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า ‘ความยั่งยืน’ ในแบบของ UNIQLO นั้นวัดผลได้จริง
Global Fitting: เบื้องหลังไซส์ที่พอดีกับ ‘ทุกคน’ ทั่วโลก
หลักการสำคัญอย่าง ‘Made for All’ ที่ Tadashi Yanai กล่าวไว้นั้น ไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นกระบวนการที่จับต้องได้จริงจากการเยี่ยมชม GIC เราได้เห็นด้วยตาเนื้อถึงเซสชันสุดพิเศษที่เรียกว่า Global Fitting
นี่คือกระบวนการที่ UNIQLO จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง โดยจะเชิญนางแบบที่มีรูปร่างหลากหลาย ตั้งแต่ไซส์เล็กสุดอย่าง XXXS ไปจนถึง XXXL มาลองเสื้อผ้าต้นแบบชิ้นเดียวกัน เพื่อวิเคราะห์และปรับแก้ทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความยาวแขน ตำแหน่งเอว หรือความกว้างของลำตัว ให้เสื้อผ้าชิ้นนั้นดูดีและเหมาะสมกับ ‘ทุกคน’ ให้ได้มากที่สุด นี่จึงเป็นเบื้องหลังที่แท้จริงของเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและดูดีในทุกไซส์
นอกเหนือจากนางแบบฟิตติ้งสำหรับไซส์หลากหลายที่เราเห็นแล้ว ในกระบวนการพัฒนาสินค้ารายวัน UNIQLO ยังมีนางแบบหลัก (In-house Fit Model) ที่ทำงานด้วยเป็นประจำเพียง 2 คน เพื่อรักษาความแม่นยำและสม่ำเสมอของไซส์ต้นแบบไว้
ขณะที่เราเดินผ่านมุมขนมนมเนยที่ทาง GIC เตรียมให้พอดี ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “พวกเธอจะเอ็นจอยคุกกี้นิวยอร์กที่อร่อยฉ่ำแบบนี้ได้อย่างไร…” “กัดคำเล็กๆ พอได้อยู่ค่ะ” หนึ่งในทีมงานกล่าวอย่างติดตลก “มันเป็นหน้าที่ของพวกเธอที่ต้องรักษารูปร่างให้เหมือนเดิมอยู่เสมอ”
KAWS กับตำแหน่งใหม่ที่จะปฏิวัติวงการอาร์ตและแฟชั่น
ไฮไลต์สำคัญที่ถูกประกาศเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ภายในงาน LifeWear Day จนทั่วพื้นที่ในพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยเสียงปรบมือแซ่ซ้อง คือการแต่งตั้งศิลปินร่วมสมัยชื่อดังอย่าง KAWS (คอวส์) ให้เข้ารับตำแหน่ง Artist in Residence คนแรกของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นการยกระดับความร่วมมือไปอีกขั้น
ในบทบาทใหม่นี้ KAWS จะไม่ได้มีส่วนร่วมแค่การออกแบบเสื้อยืด UT แต่จะขยายขอบเขตสู่การพัฒนาสินค้า LifeWear ในอนาคตทั้งหมด, มีบทบาทสำคัญในการแข่งขัน UT Grand Prix และที่สำคัญคือการทำหน้าที่เป็น Curator คัดเลือกศิลปินและครีเอทีฟรุ่นใหม่ทั่วโลกเข้ามาร่วมงานกับ UNIQLO
การแต่งตั้งครั้งนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน โดย John C Jay ประธานฝ่าย Global Creative แห่ง Fast Retailing กล่าวว่า “KAWS ได้ทลายกำแพงดั้งเดิมของโลกศิลปะ เช่นเดียวกับที่ UNIQLO พยายามจะนิยามอุตสาหกรรมเสื้อผ้าใหม่”
สำหรับคอลเล็กชันแรกภายใต้ความร่วมมือในตำแหน่งใหม่นี้จะเปิดตัวให้แฟนๆ ได้ช้อปในฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาวปี 2025 แอบกระซิบว่าเราได้ลองสัมผัส Cashmere Sweater ปักลายที่เห็นดังภาพแล้ว พูดได้เลยว่าเป็นไอเท็มที่ควรค่าแก่การครอบครองอย่างยิ่ง
ไม่ใช่แค่พรีเซนเตอร์! Cate Blanchett กับเหตุผลที่แท้จริงที่เธอเลือก UNIQLO
หลังจากที่ทางแบรนด์ได้ประกาศเปิดตัว Global Brand Ambassador คนใหม่อย่าง Cate Blanchett ไปในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็ได้สร้างความฮือฮากันไปทั่วโลก
View this post on Instagram
นอกจากงาน LifeWear Day 2025 จะเป็นบันทึกครั้งประวัติศาสตร์ของเธอในการปรากฏตัวครั้งแรกตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งแล้ว เธอยังได้แชร์มุมมองอันลึกซึ้งซึ่งเป็นเหตุผลแท้จริงเบื้องหลังการร่วมงานครั้งนี้
เธอเผยว่าจุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้พบกับ Koji Yanai ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสแห่ง Fast Retailing ที่การประชุมผู้ลี้ภัยโลก (Global Refugee Forum) ซึ่งทำให้เธอได้สัมผัสถึง ‘หัวใจ’ ของแบรนด์ในการช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง
ความเชื่อมั่นในคุณค่าด้านมนุษยธรรมนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับปรัชญาส่วนตัวของเธอในเรื่องความยั่งยืน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่เธอยังคงสวมใส่เสื้อแจ็กเก็ตยีนส์ที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 16 ปี ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองการใช้เสื้อผ้าอย่างยาวนาน ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังแสดงความชื่นชมในวัฒนธรรมการซ่อมแซมเสื้อผ้า ‘Sashiko’ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่สตูดิโอ Re.UNIQLO นำมาให้บริการซ่อมแซมเสื้อผ้าแก่ลูกค้า ทำให้เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้สนับสนุนบริการนี้ เพื่อให้ทุกคนได้ทะนุถนอมเสื้อผ้าชิ้นโปรดให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้น
ปรัชญาทั้งหมดนี้เองที่ถูกนำมากลั่นกรองเป็นบทสรุปบนเวทีเสวนา ซึ่งดำเนินรายการโดย Clare Waight Keller ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนปัจจุบันของ UNIQLO ที่ทำให้ UNIQLO : C กลายเป็นคอลเล็กชันโปรดของใครหลายคน (รวมถึงเรา) และยังมี Roger Federer อีกหนึ่ง Global Brand Ambassador ระดับตำนาน ผู้ร่วมงานกับทางแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2018 ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย
โดย Cate ได้กล่าวประโยคที่สรุปทุกอย่างไว้ว่า “การได้ใส่เสื้อผ้าคุณภาพดีและผลิตมาอย่างดีไม่ควรเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย และฉันคิดว่านั่นคือ DNA ของแบรนด์ UNIQLO”
วัสดุมี ‘พลัง’ ในการเปลี่ยนแปลงสังคม
Mitsuo Ohya ประธานบริษัท Toray Industries ได้เผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จของเสื้อผ้า LifeWear ว่าเกิดจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งกับ UNIQLO มาตั้งแต่ปี 1999 ก่อนจะพัฒนาสู่การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในปี 2006 โดยมีรากฐานจากปรัชญาที่เชื่อว่า ‘วัสดุมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม’
หัวใจสำคัญที่ทำให้ปรัชญานี้เป็นจริงคือความมุ่งมั่นในการก้าวข้ามขีดจำกัด อย่างการพัฒนานาโนเทคโนโลยีจนสามารถสร้างสรรค์เส้นใยที่ละเอียดเป็นพิเศษ และมีน้ำหนักเพียง 0.15 กรัม สามารถยืดได้ยาวจากโลกถึงดวงจันทร์
ด้วยเทคโนโลยีระดับนี้ พวกเขาจึงสามารถใช้นวัตกรรมขั้นสูงเพื่อแก้ปัญหาระดับโลกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแกร่งกว่าเหล็ก 10 เท่าแต่น้ำหนักเบากว่าถึง 4 เท่าเพื่อลดการปล่อย CO2 ในอุตสาหกรรมการบิน หรือเทคโนโลยีเมมเบรนที่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำสะอาด
ปรัชญานี้ถูกนำมาปรับใช้จนเกิดเป็นนวัตกรรม LifeWear อันเป็นเอกลักษณ์มากมาย เช่น HEATTECH ที่บางแต่ให้ความอบอุ่น, AIRism ที่สวมใส่สบาย และ PUFFTECH วัสดุทางเลือกใหม่แทนขนดาวน์ ซึ่งคือข้อพิสูจน์ของการผนึกกำลังเพื่อสร้างสรรค์เสื้อผ้าแห่งอนาคตที่ช่วยให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นอย่างแท้จริง
UNIQLO และ MoMA เปิดประตูสู่โลกศิลปะให้ทุกคน
ความร่วมมือที่ยาวนานกว่าทศวรรษระหว่าง UNIQLO และพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (MoMA) ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องบนปรัชญา ‘Art for All’ โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายกำแพงระหว่างโลกศิลปะและชีวิตประจำวันของผู้คน
ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ชาวนิวยอร์ก ‘สัมผัสศิลปะ’ ด้วยการเข้าชม MoMA ได้ฟรีทุกคืนวันศุกร์ผ่านโปรแกรม UNIQLO Friday Nights และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถ ‘สวมใส่ศิลปะ’ ได้ ผ่านคอลเล็กชันเสื้อยืด UT MoMA Art Icons ซึ่งจะทำให้เราได้ลุ้นกันอยู่เสมอว่าผลงานศิลปะชิ้นใดจะได้มาอยู่บนเสื้อยืด UT ในอนาคต