จากการเชิญชวนเพื่อนพ้องที่มีแพสชันในการดื่มอย่างแรงกล้าเหมือนกันไปยังห้องที่มีวิสกี้เรียงรายกว่า 400 ขวดอยู่บ่อยครั้ง คืนหนึ่ง ตั้ม-อานนท์ มั่นคง หนุ่มวัย 20 ปีเศษ ผุดคำถามขึ้นกลางวงสนทนาว่า “ทำไมเราไม่อัปสเกลเป็นอีเวนต์ชิมวิสกี้ให้คนนอกได้สัมผัสบ้างล่ะ?” ประโยคเรียบง่ายที่โพล่งไปกลางวงได้สุมไฟแพสชันที่มีเป็นทุนเดิมของสองเพื่อนซี้ตรงหน้า เพน-เพ็ญพิชชา พึ่งกิจ และ แชมป์-ตรีภพ เที่ยงตรง ให้ลุกโชนแบบดับไม่อยู่
แชมป์-เพน-ตั้ม
ความเห็นที่ถูกแลกเปลี่ยนอย่างพรั่งพรูตลอดค่ำคืนได้นำมาซึ่งชื่อ ‘The Tasting Room & Co.’ คลาสวิสกี้ที่เปิดให้คนคอเดียวกันมีโอกาสมาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ พลางดื่มด่ำไปกับหลากรสชาติของวิสกี้ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ซึ่งที่มาของชื่อ The Tasting Room & Co. ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากห้องที่ตั้มเปิดให้เหล่าผองเพื่อนคนสนิทได้มาชิมวิสกี้นั่นเอง
ระหว่างที่เราได้พูดคุยกับทั้งสามแบบเพลินๆ ก็ได้ค้นพบว่า การรวมตัวของเพื่อนซี้กลุ่มนี้ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าขัน หรือจะเป็นโชคชะตานำพาก็ว่าได้
ในอดีตเพนมีดีกรีเป็นบาร์เทนเดอร์สาวที่บาร์แห่งหนึ่งในโรงแรม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พบกับตั้ม ลูกค้าขาประจำในร้านที่แวะเวียนมาทุกอาทิตย์ จนมีโอกาสพูดคุยและได้รู้ว่าตั้มเป็นโปรแกรมเมอร์เขียน AI วันหนึ่งเพนถูกชักชวนจากแชมป์ เพื่อนสายดื่มผู้ซึ่งเปิดบริษัทด้าน AI ให้มาทำงานด้วยกัน
ด้วยความชอบด้านการดื่มเหมือนกัน เพนจึงพาแชมป์ไปรู้จักกับตั้ม ซึ่งนั่นสรุปได้ว่าทั้งสามต่างมี ‘แพสชันด้านการดื่มและสายงานด้าน AI’ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันและกันไว้อย่างเหนียวแน่น มิหนำซ้ำชื่อธีมรวมถึงโปสเตอร์คลาสแต่ละครั้งนั้นยังเกิดจากความอัจฉริยะของ AI อีกด้วย
The vibe
คลาสชิมวิสกี้ ครั้งที่ 2 ถูกยกไปอยู่ใน Regular’s Space บาร์ขนาดย่อมที่จุได้ราว 10 ที่นั่งในซอยเจริญกรุง 43 แต๊ง-จาตุรันต์ รุ่งเรืองเสาวภาคย์ หนึ่งในหุ้นส่วนของร้าน ผู้ซึ่งเคยไปร่วมคลาสของ The Tasting Room & Co. ครั้งแรก ที่จัดขึ้น ณ Lost in Thaislation นั้นรู้สึกประทับใจจนต้องขอเป็นโฮสต์บ้าง
คอนเซปต์ในครั้งนี้เป็นการพาเหล่านักจิบร่วมเดินทางไปสู่ท้องทะเลด้วยวิสกี้ในเขต Islay 6 ตัวจากหลากหลายแบรนด์ พร้อมกับ Aged Thai Sashimi 3 ชนิดที่ถูกนำมาส่งสดๆ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนงานเริ่ม
The taste
ก่อนจะเริ่มแพริ่งกับปลา ตั้มเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมคลาสได้ลองดมกลิ่นและจิบวิสกี้ที่ถูกรินตรงหน้า แล้วลองพูดสิ่งที่รู้สึก เขาเน้นย้ำว่า วิสกี้ก็เปรียบเสมือนศิลปะชิ้นหนึ่ง ดังนั้นมันไม่มีถูกผิดด้านการตีความ บางคนอาจจะถนัดการบรรยายออกมาเป็นรสชาติ บางคนอาจจะตีความเป็นสี ภาพ อาหาร หรือวิวทิวทัศน์ ก็ได้เช่นกัน
จานแรกเป็น ปลาช่อนทะเล (Black Cobia) แพริ่งกับ Glen Grant 12 Exclusive Version โดยตัวปลามีการเสิร์ฟคู่กับมะตูมแขกที่กลิ่นเหมือนพริกไทย แต่ไม่มีความเผ็ด เพื่อเลี่ยงการทำให้ลิ้นสูญเสียการรับรส แต่หากใครอยากจิ้มกินกับวาซาบิก็ทำได้ เนื่องจากความเผ็ดฉุนของวาซาบิจะคงอยู่ไม่นาน
เนื้อปลามีความกรอบ เด้ง สู้ฟัน พอบีบเลมอนเล็กน้อย แกล้มกับมะตูมแขกสักหน่อย ก็ยิ่งมีความหอมฟุ้งในปาก เมื่อลองแพริ่งกับรสของวิสกี้ที่มีความขมนำหวานแล้ว ก็ทำให้รสชาติของปลามีความหวานขึ้นทันที
ต่อกันที่ ปลากระบอก (Grey Mullet) แพริ่งกับ Bowmore 12 ตัวปลามีความฉ่ำไปด้วยน้ำมันมะกอก เสิร์ฟคู่กับดอกหางนกยูง โรยด้วยดอกเกลือ ความหอมแนว Woody / Leathery ของวิสกี้ ทำให้ไม่รู้สึกถึงกลิ่นคาวปลาแต่อย่างใด แถมยังชูรสความสดหวานของปลามากขึ้นอีกเช่นกัน
ปิดท้ายด้วย ปลาโอลาย (Skipjack Tuna) ที่ถูกนำมาเซียร์เล็กน้อย แพริ่งกับ Laphroaig 1815 Legacy Edition ที่ถือเป็นวิสกี้ที่มีความเข้มและสโมกกี้ที่สุดในบรรดาขวดที่ถูกเสิร์ฟทั้งหมด ซึ่งเข้ากับความสโมกกี้ของตัวปลาอย่างลงตัว
Good for
จากการที่มีโอกาสได้ฟังถึงที่มาที่ไปของวิสกี้แต่ละตัว เกร็ดความรู้สุดล้ำ รวมไปถึงเหตุและผลของการนำมาแพริ่งกับปลาแต่ละตัวนั้น ทำให้เราสรุปได้เลยว่าคลาสนี้เกิดมาเพื่อคนที่เป็นคอวิสกี้จริงๆ หรือบาร์เทนเดอร์ที่สนใจอยากจะมาแลกเปลี่ยนความรู้ก็ถือว่าควรค่า
ส่วนคลาสครั้งหน้าจะถูกจัดที่ไหน คอนเซปต์อะไร สามารถติดตามได้ทาง Instagram ของ The Tasting Room & Co.
Open: 1-2 ครั้งต่อเดือน (Reservation Only)
Instagram: thetastingroomandco
Budget: 3,500 บาท