‘Take Eat Easy’ All-Day Dining ใหม่ ทำถึง ไวบ์ดีเหมือนโอเอซิสหลังบ้าน

ตื่นบ่ายแต่โหยหาอาหารเช้า อารมณ์เปลี่ยวอยากจิบดริงก์แต่หัววัน ตกเย็นอยากพาครอบครัวไปดินเนอร์จัดเต็ม หรือจะนั่งปั่นงานยาวตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน ก็แวะมาจบที่เดียวได้ที่ Take Eat Easy ร้านอาหารสไตล์ All-Day Dining แห่งใหม่ล่าสุดในย่านเย็นอากาศ ที่ให้ฟีลเหมือนโอเอซิสหลังบ้าน

Take Eat Easy ก่อตั้งโดย Nika Skripnik และ Andrei Abramov ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 12 ปีในวงการอาหารและเครื่องดื่ม และที่ทวีความพิเศษให้กับโอเอซิสใหม่แห่งนี้คือ ลิสต์เมนูอาหารทั้งหมดถูกรังสรรค์โดยเชฟชื่อดังผู้กวาดรางวัลมากมายอย่าง Tim Butler จาก Eat Me ด้วยแรงบันดาลใจจากแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ

ภาพ: Take Eat Easy

ในขณะที่หมวดดริงก์ถูกกุมบังเหียนโดยนักรังสรรค์เครื่องดื่มฝีมือฉมังอย่าง Bennie Sorum และ Dannie Sorum จาก By.sorum ทั้งสองเคยผ่านประสบการณ์ก่อตั้งและเปิดตัวร้านอาหารชื่อดังหลายแห่งในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น Hyde & Seek Gastro Bar, Rocket Coffeebar, Lady Brett Tavern, U.N.C.L.E. และ Rocket X

ภาพ: Take Eat Easy

The Vibe

ก้าวเข้ามาในตัวร้านแล้วเหมือนถูกปรับมู้ดให้สงบลงทันทีด้วยพื้นที่สีเขียวร่มรื่นที่ห้อมล้อมราวกับสวนหลังบ้าน โดยมีต้นไทรเก่าแก่อายุกว่า 200 ปีตั้งเด่นอยู่กลางร้าน บรรยากาศด้านนอกไม่ร้อนเท่าที่คิด ซึ่งเชื่อว่าถ้าแวะมาช่วงเช้าจะยิ่งเย็นสบายกว่านี้

โซนอินดอร์ของที่นี่จะแบ่งเป็นห้องอาหารที่รองรับได้ราว 40 คน ซึ่งใครที่มากันหลายคนก็สามารถจองเป็นโต๊ะยาวได้

ส่วนสายดริงก์ให้พุ่งตรงไปที่โซนบาร์ ซึ่งจะเปิดให้บริการในส่วนของแอลกอฮอล์ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้น

The Taste

Day Menu ของที่นี่จะเสิร์ฟตั้งแต่เวลา 08.00 น. ยาวไปจนถึงเวลา 16.00 น. แล้วจะเสิร์ฟเป็น Dinner Menu ตั้งแต่ช่วงเวลา 17.00 น. เป็นต้น ซึ่งเราสามารถนั่งเอ็นจอยมื้อค่ำยาวยันเที่ยงคืนได้เลย

มาทั้งทีก็คงต้องลิ้มลองความอร่อยจากเมนูทั้งสองช่วงเวลา ก่อนอื่นก็ต้องขอเติมคาเฟอีนให้ร่างสักนิด กาแฟของที่นี่จะใช้เป็นเมล็ดกาแฟจากเกษตรท้องถิ่นที่สองพี่น้องตระกูล Sorum คัดสรรเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันมีด้วยกัน 2 เบลนด์ คือ Black / White Blend ซึ่ง Black Blend เป็นผลงานการรังสรรค์ของคาเฟ่ชื่อดังย่านพญาไทอย่าง Factory Coffee ส่วน White Blend ที่ใช้สำหรับกาแฟนมนั้นมาจาก Pobnar

แค่เห็นแต่ละชื่อก็สัมผัสได้เลยว่ากาแฟที่นี่ต้องปังแน่ แล้วก็ปังจริงเมื่อได้ลอง Blind Date (140 บาท) กาแฟซิกเนเจอร์แก้วนี้ที่แค่จิบแรกก็ตาลุกวาวไปกับความหอมละมุนเข้มข้นของนมและเอสเพรสโซ พร้อมความหวานเล็กๆ ของผงอินทผลัมที่เกาะรอบปากแก้ว ยิ่งกัดแท่งดาร์กช็อกโกแลตที่เสิร์ฟมาด้วยแล้วยิ่งฟิน ซึ่งบอกได้แค่ว่าสายกาแฟนมต้องลอง

เมื่อร่างมีคาเฟอีนแล้วก็ฟังก์ชันต่อได้ เริ่มกันที่ Ribs & Eggs (390 บาท) อิงลิชมัฟฟินหน้า Pulled BBQ Pork หมูฉีกคลุกเคล้าซอสบาร์บีคิวท็อปด้วยไข่ดาวฉ่ำซอสบาร์บีคิว จะกัดคำไหนก็คือได้ความฉ่ำ เข้มข้น จัดจ้านเต็มรส

ข่าวดีสำหรับใครที่เป็นชาววาฟเฟิลเลิฟเวอร์ ที่นี่มีให้เลือกทั้งแบบคาวและหวาน และแต่ละหน้าคือน่าลองไปหมด แต่ด้วยพื้นที่กระเพาะที่ต้องใช้สอยประหยัดเลยเลือกมาลองอย่างละที่

Salmon & Ikura (490 บาท) หั่นชิ้นวาฟเฟิลพอดีคำปาดด้วยซาวครีมท็อปด้วยแซลมอน อิคุระ บีบเลมอนตามเล็กๆ แล้วกินทั้งคำ ความหอมของต้นหอมฝรั่งและผักชีลาวฟุ้งขึ้นมาเป็นโน้ตแรก เข้ากันกับองค์ประกอบของเอเลเมนต์ที่เหลืออย่างลงตัวไร้ที่ติ

ข้ามมาเติมความหวานกับ Figs & Berries (420 บาท) เลเยอร์ด้วยช็อกโกแลตมาสคาร์โปนชีสท็อปด้วยลูกฟิก ส้มเชื่อม และเบอร์รีสด ความครีมมี่ของตัวซอสเข้ากันกับรสเปรี้ยวของผลไม้ได้อย่างลงตัว และยิ่งถ้าใครที่ชอบรสช็อกโกแลตส้มด้วยก็คงถูกใจจานนี้ไม่น้อย

หากใครที่แวะมาคนเดียวและอยากได้เมนูสไตล์ Bowls จบในชามเดียว ที่นี่ก็มีเช่นกัน ถ้าอยากได้ความเฮลตี้แต่มีรสจัดจ้านหน่อย แนะนำเป็น Kimchi & Tofu (350 บาท) ข้าวไรซ์เบอร์รีคลุกเคล้ากับกิมจิ แตงกวา แครอต เต้าหู้ งา สาหร่าย และต้นหอม บีบมะนาวตามไปด้วยยิ่งแซ่บ

หรือจะลองเป็นแซนด์วิชก็ง่ายดีอย่าง Serrano & Stracciatella (550 บาท) ที่ใช้เป็นขนมปังฟอกกาเซียเนื้อนุ่มหอมกลิ่นสโมกเล็กน้อย เลเยอร์ด้วยแฮมเซอร์ราโน สตราชาเทลลาชีส หรือชีสนมควาย มะกอก เพิ่มความหอมด้วยผักร็อกเก็ตและใบกะเพรา

ระหว่างท่ีรอดินเนอร์ก็ถือโอกาสพักยกพักท้อง เดินไปหาเครื่องดื่มช่วยย่อยที่บาร์กันสักหน่อย

ด้วยบรรยากาศสดชื่นยามบ่าย Bennie เลยแนะนำเป็น The Yard (265 บาท) ด้วยความสดชื่น ดื่มง่าย เบสเป็นไอริชวิสกี้ บรั่นดี เพิ่มความหวานด้วยลูกแพร์ ซิตรัส พร้อมโน้ตหอมๆ จากกานพลู

Clara (335 บาท) อีกแก้วที่ยังคงให้ความสดชื่น ดื่มง่าย และชวนให้นึกถึงโยเกิร์ตดริงก์ด้วย Clarified Milk เบสเป็นเตกีลาผสมกับเสาวรส แอปเปิ้ล และซิตรัส ซึ่งตอนเสิร์ฟทางร้านจะมีการปั๊มแม่พิมพ์ลงบนน้ำแข็งด้วย

My Pal AI (420 บาท) สปิริตที่ใช้เป็นปิสโกจากเปรูและชิลี เข้ากันได้ดีกับชาซีลอนหอมๆ เกรปฟรุต ซินนามอน แต่งกลิ่นด้วยดอกส้ม แก้วนี้จะมีโน้ตซินนามอนนำประมาณหนึ่ง ถ้าใครชอบก็จะชอบเลย

หลังได้สัญญาณว่าดินเนอร์พร้อม ก็พาตัวเองกลับไปที่โต๊ะพร้อมลุยต่อก๊อกสอง (Ads ยาลดกรดต้องเข้าแล้ว!) ที่เห็นเป็นเพียงจานเด็ดบางส่วนจากเมนูเท่านั้น

จุบจิบกันแบบเบาๆ แต่รสชาติไม่เบาด้วย Smoked Beef Jerky (150 บาท) เนื้อเค็มแห้งจิ้มกินกับ Spiced Aioli มาโยรสเผ็ดจัดจ้าน บอกได้แค่ว่านี่คือกับแกล้มชั้นเลิศ

ต่อด้วยเนื้ออีกสักจานกับ North Point Ranch Beef Tartare (550 บาท) ทาร์ทาร์เนื้อคลุกเคล้ากับไข่และเครื่องเทศรสจัดเล็กน้อย กินกับฟอกาเซียที่เสิร์ฟมาด้วยก็เข้ากันดี

Seared Hen of the Woods Mushroom (550 บาท) เห็นเป็นจานสลัดและเห็ดแบบนี้ดูเหมือนจะเบา แลดูเฮลตี้ แต่จริงๆ แล้วมีชีสทาเลกจิโอซ่อนอยู่ด้านในด้วย

หากชอบจานชีสแบบตะโกน ต้องโดน Smoked Burrata & Heirloom Tomato (390 บาท) ที่เสิร์ฟมากับมะเขือเทศหลากสี ซึ่งให้รสชาติแตกต่างไปตามสี ชอบเปรี้ยวตาตื่นให้กินลูกเขียว ชอบหวานไปแดง แนะนำให้ตักกินด้วยกันกับทุกองค์ประกอบในจาน ลงตัวสุดๆ

ปิดท้ายด้วยจานผักอีกสักจานก่อนจะเข้าสู่ Main กับ Cold Smoked Duck Salad (450 บาท) สลัดผักกาดโรเมนเสิร์ฟกับเป็ดรมควัน พาร์เมซานชิปส์ และที่เห็นโรยเป็นชิ้นเล็กๆ นั่นเป็นแพนเซตตาเบคอนสไตล์อิตาเลียนที่ทำมาจากส่วนท้องของหมู ใครที่อยากหาจานเบาๆ ไม่หนักจนเกินไป จานนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลย

และแล้วก็เดินทางเข้าสู่ Main (หมวดแป้ง) พาสต้าที่นี่บอกเลยว่าจานใหญ่จริง ถ้ารักเส้นมากก็คงกวาดเรียบได้ไม่ยาก แต่แนะนำให้แชร์กับเพื่อนจะได้ลองหลายๆ อย่าง Truffle & Mushroom (650 บาท) เส้นบูคาตินีโรยออนท็อปด้วยพาร์เมซานชีส แพนเซตตา เพิ่มความหอมและจัดจ้านด้วยพาสลีย์และพริก แน่นอนว่าโน้ตของทรัฟเฟิลยังคงหอมชัดยืนหนึ่ง

แต่ถ้าชอบเบสมะเขือเทศแนะนำเป็น N’Duja & Chorizo (490 บาท) เส้นริกาโตนีทรงกระบอกเหมือนท่อตัดรสเปรี้ยวด้วยสตราชาเทลลาและพาร์เมซานชีสแบบแน่นเครื่อง สายชีสต้องถูกใจสิ่งนี้

จบ Main แป้ง สู่ Main โปรตีน จานที่นั่งยัน นอนยัน และยืนยัน ว่าต้องสั่งคือ Slow Smoked Pork Ribs-Half Rack (650 บาท) ซี่โครงหมูติดมันย่างมาได้นุ่ม ฉ่ำ เข้ากับตัวซอสไร้ที่ติ กินกับ Chipotle Coleslaw รสจัดจ้านที่เสิร์ฟมาในเซ็ตด้วยคือ 10/10 ตัดเลี่ยนได้ดี หากมาเป็นหมู่คณะหรือครอบครัว ที่นี่ก็มีไซส์ The Mountain (2,200 บาท) เสิร์ฟอีกด้วยนะ

นอกจากอาหารสไตล์เวสเทิร์นแล้ว ที่นี่ก็ยังมีการฟิวชันรสชาติไทยๆ อย่าง Charred Hanger Steak (990 บาท) สเต็กเนื้อหั่นชิ้นหนาสะใจย่างแบบมีเดียมแรร์ เสิร์ฟมากับซอสแจ่วจัดจ้าน ถือเป็นจานที่ถูกที่ควรมีประดับโต๊ะอีกเช่นกัน

ส่งท้ายกับ Wood-Fired Chicken – Whole Bird (850 บาท) ไก่ย่างเตาถ่านเนื้อนุ่ม ฉ่ำ มีให้เลือกทั้งซอสบาร์บีคิวและแจ่ว จะจิ้มอันไหนก็อร่อย แต่ถ้าอยากตัดเลี่ยนต้องแจ่วเท่านั้น

ก่อนจะสิ้นใจ เราได้เว้นสเปซที่เหลือน้อยนิดในกระเพาะไว้ให้ของหวานที่จะไม่ลองก็รู้สึกไม่คอมพลีต Pan Con Chocolate (250 บาท) ช็อกโกแลตกานาชสุดเข้มข้นเสิร์ฟกับ Extra Virgin Olive Oil และ Sea Salt ถือเป็นคอมบิเนชันสุดแปลกแต่กลับเข้ากันได้เฉยเลย

และถ้าอยากได้ความทรอปิคัลหน่อยต้องลอง Mango & Coconut (290 บาท) วาฟเฟิลท็อปด้วยวิปครีม สับปะรดที่นำไปอินฟิวส์วานิลลา มะม่วงหวานเปรี้ยวสดชื่น เพิ่มความหอมมันด้วยมะพร้าวเผา ตัววาฟเฟิลจะมีความหอมเค็มเนย พอกินกับวิปครีมนมนุ่มละมุนและความเปรี้ยวสดชื่นของผลไม้แล้วเข้ากันดีมาก

Good for

ถ้าชอบอาหารสไตล์เวสเทิร์นที่สั่งได้ทั้งวัน มีเครื่องดื่มแบบจริงจังให้เลือกแบบครบๆ ตั้งแต่ชา กาแฟ สมูทตี้ มิลก์เชก ยันแอลกอฮอล์ ไวบ์ชิลแฮงเอาต์กับเพื่อนก็ได้ ครอบครัวก็ดี หรือจะลุยเดี่ยวก็ยังได้ Take Eat Easy ตอบโจทย์มาก เราเชื่อว่าถ้าลองมาครั้งหนึ่งแล้ว จะต้องหาโอกาสไปซ้ำเพื่อลองเมนูอื่นให้ครบเหมือนเราแน่นอน