รู้สึกเหนื่อยไหมกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก? เป็นได้แค่ ‘คนคุย’ ทั้งที่ใจเราให้เขาไปมากกว่านั้นแล้ว อยากถามหาความชัดเจน แต่ก็กลัวว่าจะเสียเขาไป บางทีมันเหนื่อยกว่าเลิกกันอีก เพราะไม่มีสิทธิ์จะบอกว่าเจ็บ ไม่มีสถานะจะเรียกร้องอะไร ถ้ากำลังสับสนว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ LIFE จึงอยากชวนทุกคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้มาเกลาใจไปด้วยกัน เพื่อหาทางออกสำหรับประเด็นคนคุย ว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้ พร้อมวิธีรับมือแบบรักษาใจตัวเองด้วย
คำว่า ‘คนคุย’ นี่มันฟังดูไม่ผูกมัด แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกมีพันธะมากมายจังเลยนะ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงติดอยู่กับความสัมพันธ์แบบไม่ชัดเจนได้นานขนาดนี้? ทั้งที่บางวันก็แทบจะนอนไม่หลับ เพราะเช็กแชตเป็นร้อยรอบ นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า Intermittent Reinforcement คือการให้รางวัลแบบไม่แน่นอน ทำให้เราเหมือนติดกับดักความรัก เหมือนเล่นเกมกดปุ่มรอรางวัลแบบไม่รู้เมื่อไรจะมา บางวันเขาก็ส่งข้อความมาหา ชวนไปเที่ยว ทำเราฟินจนลอยได้ แต่อีกวันก็เงียบหาย นั่นแหละคือกลไกที่ทำให้เราถึงเหนื่อยแต่ก็ยังรอ
หัวใจไม่ใช่พื้นที่ทดลองของใครนะ!
ถ้าเรามองดูดีๆ จะเห็นว่าเราให้ทั้งความใส่ใจและความชัดเจน แต่ได้กลับมาแค่ ‘เดี๋ยวค่อยว่ากัน’ แบบนี้มันไม่แฟร์เลย ยิ่งเราให้เขาเท่าไร พอขอความชัดเจนคราวหนึ่ง เรากลับรู้สึกผิดเหมือนเป็นคนเรียกร้องเสียอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วการอยากรู้ว่าเรากำลังไปทางไหนกัน ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในความสัมพันธ์นะ
การเป็นคนคุยมันเติมพลังหรือดูดพลัง?
ลองถามตัวเองจริงๆ ดูว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันเติมพลังให้เราหรือดูดพลังเราไปกันแน่? ทุกครั้งที่เจอกับเขาหรือคุยกับเขา เรายังหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติไหม? หรือต้องคอยระมัดระวังคำพูด กลัวเขาจะหายไปไหม? เราเป็นตัวของตัวเองในความสัมพันธ์นี้หรือเปล่า? หรือเราแอ็กเป็นคนที่เราไม่ใช่เพื่อให้เขาชอบ?
Elizabeth Gilbert เขียนไว้ใน Eat Pray Love ว่า บางคนเข้ามาในชีวิตเราเพื่อทำให้เรารู้ว่าเราสมควรได้รับอะไรที่ดีกว่านั้น บางทีคนที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดอาจเป็นคนที่สอนบทเรียนสำคัญให้เรามากที่สุดก็ได้ การหยุดไว้อาจไม่ใช่เพราะเขาไม่ดีพอ แต่เพราะเราเพิ่งรู้ว่าเรารักตัวเองได้มากกว่านี้
ดังนั้นจึงไม่ผิดหรอกนะถ้าเราจะตัดสินใจ พอเถอะ หยุดดีกว่า ฉันจะไม่ไปต่อ เพราะการไม่สานต่อความสัมพันธ์แบบคลุมเครือไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการเลือกที่จะรักตัวเองมากกว่า ชีวิตเรามีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ใครสักคนใช้มันเป็นตัวเลือกสำรอง เมื่อถึงวันที่คุณเลือกตัวเองได้ คุณจะเข้าใจว่าการหลุดพ้นจากความรักที่ไม่ชัดเจน คือการเปิดประตูให้ความรักที่สมควรได้รับเข้ามาในชีวิต
สถานะ ‘คนคุย’ อาจทุกข์หนักกว่าคำว่า ‘เลิก’ อีก เพราะการเลิกกันยังมีสิทธิ์เสียใจ แต่เป็นแค่คนคุย เราไม่มีสิทธิ์จะทวงถามอะไรเลย ทั้งที่เทใจให้เขาไปหมดแล้ว
นักจิตวิทยาเรียกว่า Intermittent Reinforcement เปรียบเหมือนเล่นสลอตแมชชีน บางทีก็ได้รางวัล (เขาส่งข้อความมา) บางทีก็ไม่ได้ (เขาเงียบหาย) แต่เราก็ยังกดต่อไปเรื่อยๆ หวังว่าครั้งหน้าจะได้อีก
หากคุณเช็กโทรศัพท์บ่อยจนว้าวุ่น กลัวตัวเองทำอะไรผิด คิดหนักเวลาเขาไม่ตอบไลน์ ยอมเปลี่ยนนิสัยเพื่อให้เขาชอบมากขึ้น ถ้าเจอแบบนี้ 3 ข้อขึ้นไป ชีวิตคุณกำลังหมุนรอบเขามากเกินไปแล้วนะ
พอเรากลัวคำตอบ กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วทุกอย่างจะหายไป แต่คิดอีกมุม การไม่พูดก็ทำให้เราต้องจมอยู่กับความไม่แน่นอนทุกวัน คิดดูดีๆ ว่าทางไหนเจ็บกว่ากันแน่?
อย่าลืมว่าหัวใจเราไม่ใช่ห้องทดลองของใคร ถ้าเขายังไม่พร้อมจะให้ความชัดเจนก็ไม่เป็นไร แต่เขาก็ไม่ควรทำให้เรารู้สึกว่าวันหนึ่งอาจจะได้ถ้าเราพยายามให้มากพอ การปล่อยให้อีกฝ่ายคาใจก็เป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง
ควรกำหนดขอบเขตในใจว่าจะรอถึงเมื่อไร ไม่ใช่เพื่อกดดันเขา แต่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องลอยคออยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าถึงวันนั้นแล้วยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ก็หยุดและหันกลับมารักตัวเองบ้าง
เขียนลิสต์ดูว่าคุณได้อะไรกับเสียอะไรในความสัมพันธ์นี้ ได้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว? แล้วแลกมาด้วยอะไร? ความมั่นใจที่ลดลงล่ะ? เวลาที่เสียไปล่ะ? ลองเทียบดูแล้วคุ้มไหม?
Elizabeth Gilbert เขียนไว้ใน Eat Pray Love ว่า “บางคนมาเพื่อสอนให้เรารู้ว่าเราควรได้รับอะไรที่ดีกว่า” บางทีเราอาจต้องขอบคุณที่เขาทำให้เรารู้จักรักตัวเองมากขึ้น
ถ้าผ่านไปนานแล้วยังอยู่ที่เดิม อย่าบอกตัวเองว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวเขาก็พร้อม เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่กำลังบอกเราว่ามันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาให้เราใช่ เราก็ใช่ไปนานแล้ว
ไม่ต้องรอให้เขามั่นใจว่าคุณดีพอ คุณต้องมั่นใจว่าตัวเองคู่ควรกับคนที่เห็นค่าและแน่ใจในตัวคุณ ความรักที่ดีไม่ได้ยากขนาดนั้น และคุณก็สมควรได้รับมันนะ
อย่าลืมว่าชีวิตของเรา ‘มีค่า’ เกินกว่าจะปล่อยให้ใครสักคนใช้มันเป็น ‘ตัวเลือกสำรอง’ ของใคร
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย