จากร้านข้าวแกงที่ขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ณ ตลาดนัดจตุจักรมาตั้งแต่ปี 1991 และปิดไปในช่วงโควิด วันนี้ ‘พริกหยวก’ (Prik-Yuak) ที่ถือกำเนิดขึ้นโดย แอน-ดารารัตน์ วิสัยจร ผู้เป็นทั้งเชฟและเจ้าของร้าน ได้สืบสานตำนานความอร่อยของข้าวแกงฉบับไทยแท้ในย่านประดิพัทธ์ด้วยการพลิกโฉมโรงเรียนเรวดีที่อายุย่างเข้า 70 ปี เป็นห้องอาหารแสนอบอุ่น อีกทั้งเพิ่มในส่วนของคาเฟ่และบาร์อีกด้วย
The Vibe
เพียงเดินเข้ามาในบริเวณลานจอดรถก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเป็นโรงเรียนท่ามกลางสวนที่ร่มรื่นด้วยการรักษาโครงสร้างเดิมไว้ไม่เปลี่ยน เดินไปจนถึงทางเข้าก็สะดุดตากับ Kitchen Bar คาเฟ่และบาร์ขนาดย่อมที่ใครเดินผ่านก็ต้องสอดสายตาเข้าไปด้านใน
ห้องชั้นล่างที่เคยเป็นห้องเรียนเด็กอนุบาลถูกเนรมิตเป็นห้องอาหารถึง 4 ห้อง โดยแบ่งเป็นห้องอาหารรวม 3 ห้อง และห้องไพรเวต 1 ห้อง ที่รองรับแขกได้ 10 ที่
บันไดขึ้นชั้นบนของอาคารก็ยังคงมีความตื้นเหมือนเดิม เพื่อรองรับสรีระของเด็กอนุบาล ห้องไพรเวตชั้นบนจะรองรับได้ 15-20 ที่ และยังมีห้องที่สามารถใช้สำหรับการประชุมได้อีกด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านค้าสินค้าพื้นบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าสาน, เสื่อ, หมอน, จาน และชาม ให้ได้ช้อปติดไม้ติดมือกลับบ้าน
“ที่นี่จะไม่ใส่ผงชูรส น้ำมันหอย รสดี และข้าวก็มาจากฟาร์มออร์แกนิกของเราเองที่เราส่งออกสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนจานดินปั้นที่เราใช้ก็มีอายุร่วมกว่า 30 ปีเช่นกัน” แอนเล่าให้เราฟังถึงเอกลักษณ์ข้าวแกงที่ร้าน พลางพาเราเดินไปชมบทความจากนิตยสารชื่อดังในยุค 30 ปีก่อนที่ถูกใส่กรอบรูปเรียงบนกำแพงอย่างเป็นระเบียบ
The Taste
“ข้าวแกงคืออาหารที่คู่กับชีวิตประจำวันของคนไทย วิถีของคนไทย ที่ต่างๆ ก็มีข้าวแกง ทางเหนือก็เป็นน้ำเงี้ยว ภาคกลางคือน้ำยา ภาคใต้ก็แกงไตปลา เป็นของกินง่ายสดใหม่ทุกวัน และถูกจริตกับคนไทย” แอนเล่าถึงจุดเด่นอาหารของร้าน และบอกให้เราสั่งตามใจชอบ
แค่เปิดดูเมนูก็เรียกว่าสั่งกันไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะรายการอาหารของที่นี่น่ากินทุกอย่าง เราเลยขอเริ่มจากเมนูยอดฮิตในหมวดขนมจีนก่อน
ขนมจีนน้ำพริก (120 บาท) “ขนมจีนน้ำพริกของภาคกลางในปัจจุบันค่อนข้างหากินได้ยาก และคนทำก็ต้องทำให้ได้สามรส หวานเค็มเปรี้ยวอย่างพอดี ของทางร้านเราจะได้ความเปรี้ยวจากมะกรูด ส้มระกำ มีความหลากหลายของสิ่งที่ใส่ลงไป” แอนเสริม ซึ่งรสชาติของขนมจีนน้ำพริกก็เรียกว่าครบรส มีเอกลักษณ์ทั้งรสชาติและความหอมที่ไม่เหมือนที่ไหนจริงๆ
ในส่วนของขนมจีนซาวน้ำ (145 บาท) ถูกเสิร์ฟมาแบบเครื่องแน่น ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น, พริกขี้หนู, สับปะรดสับ, กุ้งแห้งป่น และขิงอ่อนซอย ซึ่งคนที่ไม่ค่อยปลื้มขิงเพราะความฉุนของมันอาจจะเปลี่ยนใจ เพราะขิงของร้านนั้นกินง่ายมาก คลุกไปทั้งชามแล้วกินพร้อมกันในคำเดียวคืออร่อยเพลินปาก
หลนปูสด (520 บาท) เมนูพิเศษที่ทีม LIFE ชิมแล้วก็ต้องตักต่อซ้ำๆ ด้วยความเข้มข้นหอมหวานมันของกะทิ กินกับเนื้อปูและผักสดคือเข้ากันที่สุด
ต่อกันด้วย คอหมูย่างจิ้มแจ่ว (290 บาท) คอหมูชิ้นโตเนื้อแน่นที่น่าจะถูกใจคนที่ไม่ชอบคอหมูติดมันเยอะ จิ้มกินกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรทางร้านที่ออกไปทางหวานเปรี้ยวไม่เผ็ดมาก
แกงส้มชะอมกุ้งแชบ๊วย (350 บาท) เสิร์ฟมาในชามดินปั้นกุ้งแน่น แต่ที่แน่นกว่าคือไข่ชะอมฉ่ำๆ ที่ตักกินได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แกงส้มของที่นี่จะออกเปรี้ยวนำหวาน ไม่รสจัดจนเกินไป
เพิ่มเท็กซ์เจอร์ความกรุบกรอบเคี้ยวสนุกกับ ยำปลาสลิดทอดกรอบ (280 บาท) เสิร์ฟมาพร้อมน้ำยำเปรี้ยวหวานเผ็ดครบรส ซึ่งตัวปลาสลิดนั้นทอดมาได้กรอบอย่างทั่วถึง สามารถเคี้ยวไปได้เลยทั้งตัว
หมึกศอกผัดกระเทียมพริกไทย (450 บาท) อีกจานที่ทางร้านแนะนำเป็นพิเศษ ด้วยเนื้อปลาหมึกที่ทั้งสด แน่น แถมชิ้นโตแบบสะใจ กินเปล่าๆ แบบไม่ต้องจิ้มอะไรก็อร่อยแล้ว ส่วนสายปลาต้องไม่พลาดกับ ปลากะพงทอดน้ำปลา (320 บาท) ที่ทั้งสดและทอดได้กรอบนอกนุ่มใน แม้จะหายร้อนแล้วก็ยังกรอบอร่อย ในส่วนของรสชาติน้ำปลาเองก็ไม่ได้ติดหวานจนเกินไป
เพิ่มความจัดจ้านกับ คั่วกลิ้งเนื้อสันใน (250 บาท) ที่รสเข้มข้นแต่ไม่เผ็ดมากจนเกินไป กินกับข้าวสวยร้อนๆ คือลงตัวที่สุด ซึ่งข้าวออร์แกนิกที่ร้านจะมีให้เลือกทั้งแบบข้าวหอมมะลิ (30 บาท) และข้าวไรซ์เบอร์รี (35 บาท)
พะแนงสันคอหมู (250 บาท) ลบภาพจำของพะแนงหมูชิ้นราดข้าวทั่วไป เพราะที่พริกหยวกใช้สันคอหมูชิ้นโตๆ แถมเนื้อยังนุ่มพร้อมละลายในปาก กินกับพะแนงหวานๆ แล้วฟินจริง ใบเหลียงผัดไข่กุ้งเสียบ (175 บาท) จานผักยอดนิยมที่ใครมาก็ต้องสั่ง ซึ่งเหมาะจะเป็นจานตัดเลี่ยนด้วยรสชาติกลางๆ ที่ไม่จัดจ้านจนเกินไป
ในส่วนของเครื่องดื่มที่ทางร้านแนะนำเป็นพิเศษ คือน้ำผลไม้คั้นสดอย่างแอปเปิ้ลเอนวี่ (180 บาท) และน้ำส้มแมนดาริน (180 บาท) ที่ทั้งสดชื่นและได้รสหวานธรรมชาติไปเต็มๆ
แต่ถ้าใครกินข้าวเสร็จอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถเดินไปยังคาเฟ่และบาร์ด้านหน้าได้ พอมานั่งตอนค่ำก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ
เดิมทีทางร้านตั้งใจที่จะเน้นขายกาแฟเป็นหลัก แต่ด้วยเหล่าลูกค้าผู้ใหญ่ที่แวะเวียนมาแล้วอยากดื่ม ผนวกกับความที่มีญาติสนิททำธุรกิจ ‘ซอดแจ้ง’ สุรากลั่นชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ออม-กาศิก พัจนโรจน์ ลูกชายของคุณแอนเลยเกิดไอเดียรังสรรค์ค็อกเทลแบบไทยๆ ด้วยการใช้ซอดแจ้งมาผสมกับเครื่องดื่มสมุนไพรสูตรคุณแม่ รวมถึงกาแฟที่ออมคัดมาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดจากเชียงราย สปป.ลาว หรือสตูล
ซอดแจ้งแอปเปิ้ลสกัดเย็น (250 บาท) เบสเป็นซอดแจ้งมะพร้าวเพิ่มความหอมหวานสดชื่นด้วยน้ำแอปเปิ้ลสกัดเย็น ดื่มแล้วจะสัมผัสได้ถึงโน้ตของมะพร้าวที่หอมฟุ้งละมุนมาทีหลัง
ซอดแจ้งมะตูม (220 บาท) ที่ใช้เป็นซอดแจ้งรัมผสมกับน้ำมะตูมสูตรคุณแม่ เพิ่มความหอมด้วยน้ำผึ้งแล้วตัดเปรี้ยวด้วยมะปี๊ดหรือส้มจี๊ดจากชุมพร ซึ่งแก้วนี้เราต้องขอติดดาวให้เลย ด้วยความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของมะตูมและรสชาติที่ดื่มง่าย
ระหว่างดื่มหากอยากหาอะไรมากินเล่นด้วยทางร้านก็มี ปลาริวกิวทอด (150 บาท) และ ปลาหมึกรถเข็นย่าง (190 บาท) ให้สั่งมาแกล้มด้วย
Good for
พริกหยวกถือเป็นร้านอาหารไทยที่ค่อนข้างตอบโจทย์ครอบครัว หรือก๊วนเพื่อนที่ชื่นชอบอาหารไทย เน้นกินง่าย เหมาะกับการสังสรรค์ และที่สำคัญคือยังตอบโจทย์สายสุขภาพด้วยการไม่ใช้ผงชูรส และรสชาติส่วนใหญ่ก็จะไม่จัดจ้านจนเกินไป
หากอยากฟังดนตรีสดแนะนำให้แวะมาวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะร้านจะมีกีตาร์และแซกโซโฟนบรรเลงให้ฟังกันแบบเคลิ้มๆ ตั้งแต่เวลา 18.30-20.30 น. แต่แนะนำให้จองก่อนเพราะลูกค้าจะค่อนข้างแน่น
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์
Prik-Yuak
Open: เวลา 11.00-21.00 น. ปิดทุกวันจันทร์
Address: โรงเรียนเรวดี พญาไท
Facebook: https://www.facebook.com/prikyuakchefann
Instagram: https://www.instagram.com/prikyuak1991/
Budget: อาหารเริ่มต้นที่ 120 บาท ค็อกเทลเริ่มต้นที่ 200 บาท