Canvas น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เมื่อเราเห็นหน้าตาอาหารก็เดาได้ทันทีว่าเป็นของร้านใด และหลังจากไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนเสียนาน รอบนี้เราได้โอกาสไปชิมเมนูใหม่ที่ทำให้รู้สึกทึ่งในตัวเชฟและทีมมากกว่าเดิมอีก เพราะแต่ละจานเต็มไปด้วยสีสันและองค์ประกอบที่ราวกับหลุดออกมาจากงานศิลปะ อีกทั้งทุกอย่างยังกินได้จริงและน่าสนุกทุกเมนู
เมนูใหม่รอบนี้มีชื่อว่า ‘Oomph’ เสิร์ฟอาหารทั้งหมด 28 คอร์ส ที่เต็มไปด้วยสีสัน รสชาติ และความซับซ้อน นำโดยเชฟไรลีย์ แซนเดอร์ส ผู้หลงใหลในการวาดภาพ เขาจึงระบายสีลงบนแคนวาสก่อนเปลี่ยนให้ภาพเหล่านั้นกลายเป็นอาหารที่เสิร์ฟในร้าน Canvas แห่งนี้ ซึ่งตลอดมื้อทุกคนจะได้ชมผลงานทั้งหมดวางคู่กับอาหารด้วย รวมถึงจานชามที่ทีมเชฟออกแบบใหม่ก็เป็นส่วนหนึ่งในงานศิลปะเช่นกัน
ถ้าให้เราเล่าทุกเมนูคงใช้เวลานานไปหน่อย เอาเป็นว่าขอหยิบเฉพาะจานที่เราชอบเป็นพิเศษแล้วกัน เริ่มจาก ‘Sea Crisp’ ที่ใช้สาหร่ายผักกาดทะเลจากจังหวัดเพชรบุรี เชฟนำมาทำเป็นแผ่นกรอบๆ ประกบกับซอสทำจากสแกลลอปและหอยนางรม ‘Lamb & Lobster’ เนื้อลูกแกะจากปากช่องและล็อบสเตอร์จากภูเก็ต เชฟนำมาทำคล้ายลาบดิบรสเปรี้ยวเผ็ด
‘227 Forms of Wagyu’ จานนี้ขอยกให้เป็นไฮไลต์ เพราะจุดเล็กๆ บนจาน 227 จุดคือเนื้อวากิวจากจังหวัดสกลนคร ครีมไข่เป็ด ต้นหอม รากผักชีดอง วาซาบิพิวเร ซอสเยลลี่ และซอสอูมามิ เวลากินให้กวาดทั้งหมดแล้วกินในคำเดียว
‘Squid Shaved Ice’ เป็นอีกเมนูที่เราชอบ เชฟใช้หมึกจากสุราษฎร์ธานีที่ทำให้สุกนิดหน่อย กินพร้อมผลไม้และไข่มุกหมึกดำ ส่วนน้ำแข็งไสสีดำทำมาจากพริก ฝรั่ง และหมึกดำ
‘Pearls’ หนึ่งในซิกเนเจอร์ของ Canvas คือคาเวียร์จากหัวหินจับคู่กับข้าวเหนียว ครั้งนี้เชฟใช้ใบชะพลูห่อข้าว และกินคู่กับซอสมะพร้าวผสมน้ำปลา ‘King & Queen’ ก็น่าสนใจ เพราะเป็นการจับคู่กันของปลาอินทรี (King Mackerel) จากสุราษฎร์ธานี กับราชินีแห่งผลไม้อย่างมังคุด แล้วยังมีสมุนไพรชื่อห่อวอ ซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของชาวปกาเกอะญอด้วย
อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ ‘Sweet Sour Snail’ เป็นการจับคู่กันของเสาวรส ซีฟู้ด และชะอม โดยเวอร์ชันนี้เชฟใช้ทากทะเล กินคู่กับซอสเสาวรสและพริกจินดา ส่วน ‘Giant Catfish Curry’ ใช้ปลาจากสมุทรสาคร นำไปแช่น้ำเกลือ เอจ และย่างถ่าน ก่อนเคลือบด้วยซอสรสชาติอูมามิ ห่อใบชิโซะเคลือบน้ำมันขมิ้น และท็อปด้วยไข่ปลา
‘Punchy Pigeon Breast’ จานนี้เราชอบเพราะเหมือนถาดสีของศิลปิน เป็นเมนูเนื้อพิราบจากกาญจนบุรี กินคู่กับมัลเบอร์รี ขึ้นฉ่าย และมิโซะทำจากผลกาแฟ โกโก้ และพริก
อีกจานไฮไลต์ที่เราชอบมาก ‘Oomph Soup’ เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากชาบู จึงทำจานปีกกว้างที่มีหลุมลึกตรงกลางไว้เทซุปร้อนๆ ซึ่งเสน่ห์ของเมนูนี้อยู่ตรงวัตถุดิบรอบๆ ที่ควรเริ่มกินจากด้านบนสุดก่อนวนไปตามเข็มนาฬิกา เพราะเชฟตั้งใจเรียงมาให้ตามรสชาติเบาไปหนัก เวลากินให้ตักเนื้อและผักพร้อมซอส ก่อนซดน้ำซุปดาชิมะเขือเทศรมควันตาม
‘Black Black Rice’ เป็นจานของหวานที่เชฟนำข้าวสีนิลจากสุรินทร์ไปหุงนาน 2 เดือน จนเกิดรสชาติใหม่และมีสีดำเข้ม เสิร์ฟให้กินพร้อมลูกหว้าหมักในน้ำสตรอว์เบอร์รีและเหล้าน้ำผึ้ง
‘Honey Honeycomb Cake’ ขนมจานสุดท้ายเป็นเค้กยีสต์ที่เนื้อสัมผัสเหมือนรังผึ้ง โดยตัวเค้กทำจากแป้งข้าวเหนียวและกะทิ ผสมอีสานรัม นำไปอบจนผิวด้านนอกกรอบ และราดด้วยน้ำผึ้งป่าจากนครสวรรค์อีกที
Canvas เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งที่ควรลองสักครั้ง เพราะทั้งอาหาร ความสร้างสรรค์ และรสชาติ เราว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนร้านไหน โดยคอร์สเมนู Oomph ราคา 6,900++ บาทต่อคน
สอบถามหรือจองที่นั่งได้ที่ Canvas (แท็ก https://www.facebook.com/Canvasbkk)