ท่ามกลางร้านอาหารเปิดใหม่มากมายทั่วเมือง Nothing Sacred เชฟส์เทเบิลไร้สัญชาติบนถนนเสือป่าโดยคู่รักชาวแคนาดา น่าจะเป็นร้านที่ทำให้เราตื่นเต้นได้มากที่สุดในตอนนี้ เพราะทั้งโลเคชัน บรรยากาศ และบีตดนตรี ที่ไม่เหมือนร้านเชฟส์เทเบิลหรือไฟน์ไดนิ่งทั่วไป เราเชื่อว่าใครเดินเข้ามาก็ต้องรู้สึกเอ็นจอยไปกับทุกจังหวะของที่นี่ได้ไม่ยาก
โดยทั้งหมดเป็นผลงานของเชฟ Alex Jarvis นักดนตรีรางวัล Grammy Awards ผู้มีแพสชันในการทำอาหาร และ Nicole Scott ภรรยาผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งในวงการเพลงและวงการทำอาหารมาตั้งแต่สมัยอยู่แคนาดาด้วยกัน
The Vibe
Nothing Sacred อยู่แถวถนนเสือป่า เข้ามาไม่ลึกในซอยถนนเจ้าคำรบ ที่นี่เป็นเชฟส์เทเบิลในตึกแถวห้องเดียวที่รับได้ประมาณคืนละ 6-8 ที่นั่ง เมื่อเปิดเข้ามาทุกคนจึงพบโต๊ะตัวยาวเต็มพื้นที่ โดยฝั่งหนึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับแขกผู้มาเยือน ส่วนอีกฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ทำอาหารของเชฟ พร้อมกับมุมเตาย่างวัตถุดิบที่หันหน้าออกถนนให้คนเดินผ่านไปมาพอเดาออกว่าที่นี่คือร้านอาหารแห่งใหม่ของย่าน
The Taste
ตอนนี้ร้านเสิร์ฟ Tasting Menu 10 คอร์ส ความน่าสนใจอยู่ตรงการจับคู่วัตถุดิบในแต่ละจานอาหาร และการใช้วัตถุดิบหมักดองเองในการสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆ ซึ่งบางอย่างพวกเขาหิ้วหัวเชื้อมาเองตั้งแต่สมัยอยู่แคนาดา Jarvis บอกว่าเป็นเพราะพวกเขามาจากประเทศซึ่งเป็น Melting Pot ของวัฒนธรรมอาหารเช่นกัน สิ่งที่พวกเขานำเสนอจึงเป็นการจับนู่นผสมนี่ เหมือนกับเพลงในร้านอาหารที่เชฟรีมิกซ์เองให้เข้ากับจังหวะของรสชาติ เพราะฉะนั้นหากทุกคนได้ยินเสียงเพลงไทยแว่วมาบ้างก็อย่าแปลกใจ
หลังจากเสิร์ฟ Welcome Drink เป็นอามะสาเกหยดน้ำมันใบบัวบก ก็เข้าสู่เมนูแรกคือ Rambutan เงาะกับอูนิจากฮอกไกโด ก่อนต่อด้วย Surf Clam หอยปีกนกและกุ้งจากฮอกไกโด มากับโชยุหมักจากถั่วปากอ้าที่รสชาติอูมามิจนอยากยกขึ้นซด
เราชอบ Coral Tooth เห็ดย่างเตาถ่านกับซอสบาร์บีคิวสับปะรดและซอสหอยนางรม กินแล้วหอมกลิ่นสโมกชัดเจน แถมใบมะขามรสเปรี้ยวยังทำให้จานนี้มีรสชาติน่าสนใจขึ้นสุดๆ
หลังจาก Fish Scrap Dumpling เกี๊ยวปลาที่ใช้เศษเนื้อปลาที่ไม่ได้ใช้ในวันนั้นๆ มาทำเป็นไส้เกี๊ยว เสิร์ฟพร้อมซุปกระดูกปลา ก็ตามมาด้วยเมนู Skipjack เนื้อปลาทูน่ารมควัน มาพร้อมแก่นตะวัน (Sunchoke) ที่ใช้น้ำมันเนื้อในการปรุงด้านล่างเป็นซอสนมถั่วเหลืองที่ตัดทุกอย่างให้กลมกล่อม
Short Rib & Squid ขอยกให้เป็นจานไฮไลต์เลย โดยเชฟนำเนื้อซี่โครงไปซูวีด์นาน 2 วัน ก่อนนำมาย่างเสิร์ฟพร้อมซอสสับปะรดบาร์บีคิว ซอสกะเพรา ใบชะพลูโกจิออยล์ และแบล็กวิเนการ์ที่ทำจากน้ำปลาของหมึก เวลาเคี้ยวแล้วเนื้อนุ่มละลายในปาก
ของคาวจานสุดท้ายคือ Cobia เชฟนำเนื้อปลาช่อนทะเลไปหมักโชยุที่ทำจากข้าวโพดรมควัน และนำปลาไปเอจ 5 วัน ก่อนเสิร์ฟพร้อมซอสหน่อไม้ย่าง ด้านล่างมีมันสำปะหลังญี่ปุ่น กะหล่ำปม ส่วนด้านบนเป็นผักปลัง
Blue Cheese ของหวานจานแรกที่กึ่งของคาว เพราะเชฟจับคู่โฟมมะม่วง แยมกล้วยรมควัน เมอแรงก์ คู่กับบลูชีสจากจังหวัดเชียงราย เราว่ารสชาติแปลกใหม่เหมือนฟังเพลงรีมิกซ์ที่เชฟดึงเพลงไทยเก่าๆ มาจากตลับเทป แล้วจับคู่กับดนตรีแนวโมเดิร์น
หลังจาก Crab Roe Ice Cream ไอศกรีมไข่ปูกับกรานิตาน้ำแตงโมหมัก ก็ปิดท้ายด้วย Congee Tart ทาร์ตที่เชฟ Jarvis และ Scott อยากเสิร์ฟปิดท้ายเพื่อรำลึกถึงร้านโจ๊กที่พวกเขาเคยเปิดในแคนาดา ก่อนตั้งใจปิดร้านนั้นเพื่อบินมาเปิดร้านอาหารแห่งนี้ในประเทศไทย โดยตัวทาร์ตกรอบๆ ทำจากน้ำข้าวหมัก เมล็ดกาแฟ และราดำที่กินได้ ส่วนด้านในเป็นอามะสาเกที่เคี่ยวจนข้น ด้านบนเป็นเจลโชยุที่ทำจากเมล็ดกาแฟ ก่อนท็อปด้านบนด้วยหมูหยอง
Good for
Nothing Sacred เป็นร้านอาหารสไตล์ Experimental & Sound Lab ที่ให้อะไรมากกว่าสิ่งที่อยู่บนเมนู เพราะฉะนั้นใครอยากชิมอาหารที่นี่ เราอยากให้ลองเปิดใจและตั้งใจฟังทั้งอาหารที่เชฟต้องการเสิร์ฟและเสียงดนตรีที่เชฟตั้งใจเปิดคู่ไปแต่ละจาน ที่นี่จึงเหมาะกับคนที่อยากได้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเชฟส์เทเบิลหรือร้านไฟน์ไดนิ่งทั่วๆ ไป
เอาเป็นว่าเราอยากให้ทุกคนไปลองด้วยตัวเองมากกว่า เพราะแต่ละคนอาจตีความเพลงหนึ่งๆ อาหารจานหนึ่งๆ ต่างกัน จริงไหม?
Nothing Sacred
Address: ถนนเจ้าคำรบ ย่านถนนเสือป่า
Open: วันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
Contact: Nothing Sacred
Budget: 10 คอร์ส ราคา 3,500++ บาท
Map: