คาเฟ่ในย่านชุมชนเราว่าน่าสนใจเสมอ เพราะชวนให้คนรุ่นใหม่ได้เดินซอกแซกไปตามตรอกซอย และได้เห็นเสน่ห์ของย่านนั้นๆ ที่ในเมืองไม่มี เช่นเดียวกับ ‘No Tuesday in Pridi’ ที่เลือกเปลี่ยนร้านกาแฟเก่าแก่ให้กลายเป็นคาเฟ่มู้ดอบอุ่นผสมคลาสสิก มีทั้งกลิ่นอายแบบเก่าและแบบใหม่ มาพร้อมบรรยากาศของย่านปรีดี พนมยงค์ที่ไม่ค่อยวุ่นวาย
The Vibe
เสน่ห์ของ No Tuesday in Pridi อยู่ตรงที่เจ้าของทั้ง 4 คนเลือกเก็บรายละเอียดดั้งเดิมของบ้านหลังนี้เอาไว้ ตั้งแต่พื้นหินขัดแบบเก่า รั้วบันไดเหล็ก และชั้นลอยเพดานต่ำตามสไตล์บ้านสมัยก่อน เดินเข้ามาแล้วชวนรู้สึกเป็นกันเอง แถมยังใช้กระจกใสล้อมหน้าร้าน แสงธรรมชาติจึงส่องเข้ามาให้ร้านดูโปร่ง
เฟอร์นิเจอร์ก็เน้นใช้วัสดุไม้ ทรงเก่าผสมใหม่ เข้ากับร้านที่มีทั้งสองบรรยากาศ และที่พวกเขาตั้งใจออกแบบให้ด้านในดูสบายๆ ขนาดนี้ ก็เพราะอยากให้ทุกคนแวะมานั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือ หรือแวะมาทำงานได้บ่อยๆ หากวันไหนเบื่อความวุ่นวาย (ยกเว้นวันอังคารที่ร้านจะปิดตามฮวงจุ้ยที่ดูมา)
The Taste
No Tuesday in Pridi จะเน้นเสิร์ฟกาแฟที่ใส่ความครีเอทีฟตามสไตล์เจ้าของแต่ละคนลงไป เมนูจึงมีทั้งเครื่องดื่มคาเฟอีน ไร้คาเฟอีน และขนมปังสำหรับกินเป็นมื้อเช้าหรือของว่าง โดยเมนูเด่นๆ จะเป็นกาแฟซิกเนเจอร์ที่ใช้เมล็ดจากโคลอมเบียที่หมักด้วยวิธีแบบโคจิ รสชาติจึงมีความซับซ้อน ร้านมีให้ลองทั้งเมนูซิกเนเจอร์และอเมริกาโน
ทุกคนสามารถเลือกเมล็ดที่อยากลองได้เองแทบทุกเมนู แต่ละวันจะมีเมล็ดประจำอยู่ 3 ชนิด เมนูที่น่าสนใจก็มี ‘Maprow Dirty (130 บาท)’ เดอร์ตี้ซิกเนเจอร์ประจำร้านที่ใช้น้ำมะพร้าวช่วยเพิ่มความหวาน เป็นแก้วที่สาวกเดอร์ตี้อย่างเราชอบมาก มีทั้งความละมุนและหอมมัน แต่ถ้าใครชอบแบบดั้งเดิมร้านก็มี ‘Classic Dirty (120 บาท)’ ที่จะได้รสนมและความครีมมีเยอะกว่า
‘Cinnoffee (120 บาท)’ เป็นเมนูซิกเนเจอร์ตัวท็อป เพราะร้านใช้เมล็ดกาแฟโคลอมเบียที่หมักด้วยวิธีแบบโคจิ ทำให้รสกาแฟที่สกัดได้มีมิติ ซับซ้อน นำมาผสมกับนม ไซรัปอบเชยโฮมเมด และท็อปด้วยครีมกับผงอบเชยด้านบนอีกที ดื่มแล้วนึกถึงขนมบานอฟฟี
‘Chai Charger Latte (120 บาท)’ ลาเต้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชาอินเดีย ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่หนึ่งในเจ้าของร้านชอบ แก้วนี้จึงมีกลิ่นเครื่องเทศนานาชนิด เช่น อบเชย, กระวาน, กานพลู, พริกไทย และขิง เราว่าน่าสนใจดี โดยเฉพาะคนที่ชอบเครื่องเทศและความแปลกใหม่
แต่หากใครอยากดื่มเมนูกาแฟคลาสสิก ก็มีเมนูอย่าง อเมริกาโน (80 บาท), ลาเต้ (90 บาท) หรือเอสเย็น (90 บาท) เช่นกัน
คนไหนที่ไม่อยากดื่มคาเฟอีน ร้านแนะนำเป็น ‘Thai Tea (85 บาท)’ ชาไทยที่ร้านคิดสูตรขึ้นมาเอง รสชาติจะหวานน้อย ได้รสชาชัดแต่ไม่หนักจนเกินไป เพราะแยกครีมไว้ด้านบน ใครอยากตักชิมทีละนิดหรือดื่มผสมกันให้ข้นขึ้นก็ทำได้เลย
ขนมและอาหารที่ No Tuesday in Pridi จะเหมาะสำหรับกินเป็นมื้อว่างหรือรองท้อง เมนูคือ ‘French Toast (120 บาท)’ ขนมปังชุบไข่แผ่นใหญ่ๆ เนื้อนุ่มๆ กินคู่กับครีมชีสและไซรัป ‘Before Lunch (160 บาท)’ จะเพิ่มเบคอนเข้ามา สั่งเป็นมื้อรองท้อง หรือใครจะแวะมากินเป็นมื้อเช้าคู่กับกาแฟก็ได้
Good For
ด้วยบรรยากาศของ No Tuesday in Pridi ที่ชวนรู้สึกอบอุ่นเหมือนแวะมาดื่มกาแฟบ้านเพื่อน เราว่าที่นี่เหมาะกับการชวนกันมานั่งพูดคุยชิลๆ หรือหยิบหนังสือสักเล่มมานั่งอ่านในวันหยุด เช่นเดียวกับใครที่อยากลองดื่มกาแฟใหม่ๆ ดูบ้าง เราว่าที่นี่มีเมนูน่าสนใจให้เลือกเยอะเลย หากวันไหนอยากจิบกาแฟในบรรยากาศสบายๆ ในย่านปรีดี พนมยงค์ ลองแวะมาดู
No Tuesday in Pridi
Open: เปิดวันพุธ-จันทร์ (ปิดวันอังคาร) เวลา 08.00-17.00 น.
Address: ซอยปรีดี พนมยงค์ 31
Contact: No Tuesday in Pridi
Budget: 100-300 บาท
Map:
ภาพ: ปวรุตม์ งามเอกอุดมพงศ์